คุณแม่เงิน สตรีผู้ส่องแสงกลุ่มอนุรักษ์บนพื้นที่สูงจอมทอง
คุณแม่เงินแห่งบ้านสันดินแดง ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสตรีชาวปกาเกอะญอที่แสดงถึงความเข้มแข็งและบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิชุมชนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บทบาทของคุณแม่ไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงในชุมชน แต่ยังเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและต่อสู้เพื่อรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวปกาเกอะญอท่ามกลางความท้าทายจากนโยบายและกระแสเศรษฐกิจสมัยใหม่
คุณแม่เงินเป็นผู้นำในการปกป้องสิทธิชุมชน
คุณแม่เงินเป็นตัวแทนของผู้หญิงชาวปกาเกอะญอที่เผชิญข้อจำกัดด้านการอ่าน การพูด และการเขียน แต่ด้วยความกล้าหาญและความมุ่งมั่น เธอเข้าร่วมเวทีกลุ่มอนุรักษ์บนพื้นที่สูงจอมทองเจรจาต่อสู้ในช่วงความขัดแย้งและความพยายามแยกคนออกจากป่าต้นน้ำอินทนนท์ ช่วงปี พ.ศ. 2534-2545 ซึ่งเกิดจากการกล่าวหาว่าชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ต้นน้ำจอมทองทำลายป่า คุณแม่มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอเสียงของผู้หญิงในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มักถูกมองข้ามในกระบวนการตัดสินใจ เธอเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนกับหน่วยงานภายนอก เพื่อยืนยันว่าวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ เช่น การทำไร่หมุนเวียน ไม่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่กลับช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ
คุณแม่เงินเป็นผู้เสริมสร้างพลังสตรีในชุมชน
ในฐานะผู้นำสตรี คุณแม่เงินได้สร้างพื้นที่ให้ผู้หญิงชาวปกาเกอะญอมีส่วนร่วมในการตัดสินใจถึงการอนุรักษ์ทรัพยากร เธอช่วยให้ผู้หญิงที่ขาดทักษะพื้นฐานด้านการสื่อสารมีโอกาสพัฒนาความมั่นใจและมีบทบาทในเวทีชุมชน การเป็นตัวแทนของกลุ่มสตรีทำให้คุณแม่เป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถเป็นผู้นำและมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้ แม้จะเผชิญข้อจำกัด
คุณแม่เงินเป็นผู้ต่อสู้กับกระแสเศรษฐกิจที่ไม่ยั่งยืน
ในวัย 66 ปี คุณแม่เงินยังคงเป็นผู้นำทางความคิดในชุมชน โดยส่งเสริมให้ชาวบ้านยึดมั่นในวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ เธอปฏิเสธการเปลี่ยนที่ดินทำกินจากไร่หมุนเวียนไปเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งต้องถางป่าและใช้สารเคมีจำนวนมาก สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพังทลายของดินและมลพิษในแหล่งน้ำ แทนที่จะหลงไปกับ "เศรษฐกิจตาโต" ที่เน้นกำไรระยะสั้น คุณแม่เลือกที่จะรักษาระบบเกษตรผสมผสานที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ทำลายทรัพยากร
การทำเกษตรผสมผสานของคุณแม่เงิน
คุณแม่เงินได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการทำเกษตรผสมผสานที่สอดคล้องกับวิถีปกาเกอะญอและการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ โดยระบบนี้เน้นการปลูกพืชหลากหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน เพื่อสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ตัวอย่างการจัดการของเธอ ได้แก่พืชผักรายวัน คือ ผักที่มีวงจรสั้น เช่น ผักกาด ผักชี ต้นหอม หรือผักพื้นบ้านที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกวันเพื่อบริโภคในครัวเรือนและจำหน่ายในชุมชน
พืชผักรายสัปดาห์ คือ พืชที่ใช้เวลาเติบโตสั้น เช่น ถั่วฝักยาว หรือฟักทอง ซึ่งสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมจากพืชผักรายวัน พืชผลรายเดือนและรายปี คือ ไม้ผล เช่น มะม่วง ลิ้นจี่ หรือพืชยืนต้นที่มีมูลค่าในระยะยาว รวมถึงพืชที่ใช้ในพิธีกรรมหรือการบริโภค เช่น ข้าวไร่
การรักษาระบบไร่หมุนเวียน คุณแม่เงินยึดมั่นในวิธีการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยการปลูกพืชหมุนเวียนในพื้นที่และปล่อยให้ดินได้พักฟื้นตามรอบธรรมชาติวิธีการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ครอบครัวและชุมชนมีอาหารและรายได้ที่มั่นคง แต่ยังรักษาสภาพแวดล้อมโดยไม่ต้องพึ่งพาการถางป่าใหม่หรือใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย การเลือกเกษตรผสมผสานของคุณแม่เป็นการต่อต้านกระแสการเกษตรเชิงพาณิชย์ที่มักทำลายป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของทั้งชุมชนต้นน้ำและพื้นที่ปลายน้ำ
คุณแม่เงินแห่งบ้านสันดินแดงจึงเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งและภูมิปัญญาของสตรีปกาเกอะญอ ที่ไม่เพียงแต่ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านการยึดมั่นในเกษตรผสมผสานและวิถีชีวิตที่ยั่งยืน บทบาทของเธอในวัย 66 ปีเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนและคนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยไม่หลงไปกับกระแสเศรษฐกิจที่ทำลายสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนสตรีอย่างคุณแม่เงินจะช่วยให้ชุมชนปกาเกอะญอและป่าต้นน้ำยังคงเป็นมรดกที่ยั่งยืนสำหรับอนาคต
-----------
เขียนโดย: ครูคำ ทองบือ
-----------
ชนเผ่าพื้นเมืองกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
เมื่อพูดถึงชนเผ่าพื้นเมือง หรือกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงในประเทศไทยแล้วละก็ไม่อาจจะแยกจากกันกับทรัพยากรธรรมชาติ (ดิน น้ำ ป่า สัตว์ป่า) ได้เลย เพราะต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ เป็นปัจจัยในการดำรงชีพ ทั้งที่เป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และเป็นแหล่งจิตวิญญาณทางวัฒนธรรมทุกอย่าง ดังนั้นการดำรงชีวิตอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติที่ยาวนานนั้น จะพบเจอประสบการณ์การทดลองผิดทดลองถูกต่าง ๆ มากมาย ทั้งที่เป็นไปในสิ่งเลวร้ายและสิ่งดี ๆ ได้กลั่นออกมาเป็นองค์ความรู้ จารีตประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติ ในวิถีชีวิตที่ยากที่บุคคลภายนอกจะหยั่งรู้ถึงอย่างแท้จริงของพวกเขาได้
การมีความเชื่อและให้ความเคารพ ยำเกรงต่อเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าแม่น้ำ เจ้าแม่ธรณี ที่ถือว่าเป็นเจ้าของที่จะคอยปกปักรักษาทรัพยากรเหล่านี้ มนุษย์เป็นเพียงผู้ใช้ประโยชน์เพื่อการยังชีพเท่านั้น จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง เท่าที่จำเป็นและต้องไม่เป็นไปเพื่อการทำลาย ดังปรากฏในคำสั่งสอนของบรรพชน เรื่องเล่า บทเพลงพิธีกรรมต่าง ๆ ที่แฝงไว้ด้วยคุณค่าที่ เป็นการขออนุญาต ขอโทษ ขอพร ขอบคุณ ต่อผู้เป็นเจ้าของทรัพยากร
ดังตัวอย่างชาวปกาเกอะญอ(กะเหรี่ยง) ที่ว่า “ออ ที เก่อ ตอ ที เอาะ ก่อ เก่อ ตอ ก่อ” แปลว่า “กินน้ำ รักษาน้ำ กินผืนแผ่นดิน ต้องรักษาแผนดิน” และ “เอาะ เดะ ก่อ ตอเล เอาะ หญ่า ก่อ ตอ กุ๊ย” แปลว่า “ กินเขียด ต้องรักษาผา กินปลา ต้องรักษาวังน้ำ” และหลักการนำมาซึ่งความยั่งยืน
การมีความเชื่อเกี่ยวกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีการทำประโยชน์ใด ๆ เช่น กิ่วลม ป่าผีดุ ป่าช้า ป่าประกอบพิธีกรรม อ่างแก้ว น้ำออกรู พื้นที่โป่ง น้ำสามสบมาบรรจบกัน พื้นที่ที่มีน้ำล้อมรอบ ต้นไม้ที่ยอดด้วน ไม้สองนาง ไม้ที่มีมดทำรัง ไม้เสียดสีกัน ไม้ที่มีโพรง ไม้ล้มแล้วยืนพาดกับต้นอื่น และมีสัตว์ป่าหลายชนิดที่ห้ามฆ่า เช่น ชะนี นกเงือก นกแซงแซว เป็นต้น
นอกจากนั้นชนเผ่าพื้นเมืองมีองค์ความรู้เกี่ยวกับอาหารในป่าพืชและสัตว์ประเภทใหนที่กินได้ ที่กินไม่ได้ โดยเฉพาะพืชและสัตว์ที่เป็นพิษ อย่างเห็ดมีความเสี่ยงสูงอันตรายถึงชีวิต และมีความรู้ด้านสมุนไพรที่เป็นทั้งพืชและสัตว์อันมีสรรพคุณรักษาโรคชนิดใดบ้าง สิ่งกล่าวเหล่านี้ หากไม่ได้มีการสืบทอดจากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนสู่รุ่นต่อรุ่น ยิ่งในสมัยปัจจุบันมีการจัดการทรัพยากรที่กฏระเบียบชุมชนที่คอยกำกับ ได้มีการผลิตซ้ำวัฒนธรรมสำหรับการอนุรักษ์ มีการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ของแต่ละชนเผ่า เช่น บวชป่า บวชน้ำ ป้องกันแนวกันไฟ แม้กระทั้งการใช้เทคโนโลยีพื้นบ้านในการล่าสัตว์ป่า เก็บของป่า ที่ทำขึ้นมาโดยอย่างง่ายไม่ทำลายล้างต่อการใช้ ในการล่าสัตว์ป่าและหาใช้ของป่า
.
การรู้จักหาและจัดเก็บของป่าอย่างชาญฉลาดไม่เก็บทั้งหมด ต้องมีการปล่อยให้เติบโตยิ่งเป็นสัตว์ป่าตั้ง วางไข่ เลี้ยงลูกอ่อน ถ้าสามารถสังเกตได้ จะพยายามไม่ล่า และถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ภายในหนึ่งปี บุคคลใดที่ได้ฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า เก้ง เป็นต้น ได้ติดต่อกันหลายตัว ต้องยุติการล่า ไม่เช่นนั้น จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับตัวเองได้
และชนเผ่าพื้นเมืองก็ยังมีองค์ความรู้ด้านการพยากรณ์อากาศ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ที่สามารถสังเกตจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การทำรังของมดแดง การดูลายของลูกตะกวด การออกเสียงร้องของกบเขียด การเดินออกจากรูของมด เห็นพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง หมา ไก่ การออกผลของต้นมะเดื่อ การดูฝักมะขาม การดูการเอียงของเสี้ยวพระจันทร์ ความชื้นและความร้อนของอากาศแต่ละช่วง ทิศทางการลอยของเมฆหมอก เป็นต้น ได้บ่งบอกสภาพอากาศได้
ในปัจจุบัน ได้เกิดการรู้จักนำเทคโนโลยีใหม่ ที่ใช้ในการสัตว์น้ำ ใช้ไฟฟ้าช๊อค ยาเบือ ระเบิด ใช้ปืนที่มีลำกล้อง ทำให้มีการล่าสัตว์ป่าได้มาก การแปรรูปไม้และหาฟืน ที่ใช้เครื่องเลื้อยยนต์เกิดการสูญเสียมากกว่าเทคโนโลยีพื้นบ้านที่ได้ตามสถานการณ์ และมีการใช้เครื่องมือสมัยใหม่ที่ทันสมัยในการตรวจ สำรวจ ควบคุมการใช้ เครืองอ่านพิกัดบนพื้นผิวโลก(GPS) ระบบแผนที่ทางดาวเทียม มาประกอบการทำแผนที่ชุมชน
เครืองมือสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) มาใช้กับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนชนเผ่ามากขึ้น
ข้อเป็นห่วงในเรื่ององค์ความรู้ของชนเผ่าพื้นเมืองจะสูญหายไม่ได้รับการสืบทอดและให้ความสำคัญในคุณค่าและสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ในชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองได้สืบทอดมายาวนาน จึงต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง และสนับสนุนให้มีวิธีการที่เป็นทางการ และเป็นระบบที่มากกว่าการถ่ายทอด ด้วยการผ่านกิจกรรมโดยตรงไม่ได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว
เพราะมีปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคนรุนใหม่ เช่น การศึกษา สื่อสังคมออนไลน์ และบทบาทของศาสนาใหม่ที่เปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม เป็นที่กังวลอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทางองค์การสหประชาชาติ(United Nation : UN) ได้ออกอนุสัญญาว่าความหลากหลายทางชีวภาพ(Convention on Bio Diversity : CBD) ได้ให้ความสำคัญต่อชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมาก ดังที่ระบุใน มาตรา 8(j) “ให้ความเคารพ สงวนรักษา และดำรงไว้ซึ่งความรู้ การประดิษฐ์คิดค้น และวิธีปฏิบัติที่สืบทอดตามธรรมเนียมประเพณี ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน..” มาตรา 10 (c) มีการคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรชีวภาพตามธรรมเนียมนิยมที่สอดคล้องกับขนบประเพณีวัฒนธรรม ตามเงื่อนไขในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” ยังมีปฏิญญาสหประชาชาติ ว่าสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) เมือเดือนกันยายน 2550 มี มาตรา 9, 10 ,11 และมาตรา 25 ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะธำรงรักษาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของความสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณกับที่ดิน เขตแดน น้ำและชายฝั่งทะเลและทรัพยากรอื่น ๆ ซึ่งพวกเขาได้เป็นเจ้าของตามประเพณีหรือมิฉะนั้นเคยครอบครองหรือใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว และมีสิทธิที่ดำรงความรับผิดชอบในการส่งเสริมสิ่งเหล่านี้สู่คนในรุ่นต่อไป
ดังที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าองค์ความรู้ชนเผ่าพื้นเมือง ที่มีต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ นั้นมีความสำคัญอย่างดังเป็นที่ประจักษ์ว่าชุมชนชนเผ่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติยังมากกว่าที่อื่น ดังนั้นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง(ชุมชน รัฐ เอกชน ภาคประชาสัมคม) ต้องตระหนักและให้การสนับสนุนปกป้อง องค์ความรู้ของชนเผ่าพื้นเมืองและชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงมิให้ควบคู่กับสังประเทศชาติตลอดไป
------------
บทความโดย: อุดม เจริญนิยมไพร #สมาคมปกาเกอะญอเพื่อการพัมนาอย่างยั่งยืน(PASD)
"ต ะ น อ บ้านสบโขง: ภูมิปัญญาแห่งสายน้ำเงา
สมดุลระหว่างชีวิตและธรรมชาติ"
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “สบโขง” ตั้งอยู่ที่ ตำบลแม่สวด อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านที่ถูกห้อมล้อมด้วยขุนเขาจาก 3 จังหวัดคือ เชียงใหม่ ตาก และ แม่ฮ่องสอน. สายน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนที่นี่คือ “แม่น้ำเงา” แม่น้ำที่ใสสะอาดดั่งกระจกที่สะท้อนออกเป็นเงา อีกฟากฝั่งของแม่น้ำทาง ตะวันตกคือ จ.เชียงใหม่ ทางทิศตะวันออก คือ จ.ตาก ทำให้ หมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่บรรจบของ 3 จังหวัด
กลางสายน้ำแม่น้ำเงานี้ มีสิ่งประดิษฐ์สิ่งหนึ่ง ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยบรรพชนหลายชั่วอายุคน ของผู้คนที่นี่ สิ่งประดิษฐ์นี้มีชื่อเรียกว่า “ตะนอ”
ตะนอเป็นภูมิปัญญาเลี้ยงชีพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ดักปลาที่ชาวบ้านประดิษฐ์ขึ้นจากไม้ไผ่ วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ด้วยความเรียบง่ายในการออกแบบ แต่แฝงด้วยความซับซ้อนทางภูมิปัญญา โดยการดักจับปลานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ความบังเอิญ แต่เป็นผลจากการสังเกตวงจรชีวิตของปลาและการเคลื่อนไหวของมันในกระแสน้ำ ชาวบ้านได้เรียนรู้ว่า ปลาหลายชนิดในแม่น้ำเงาจะว่ายทวนกระแสน้ำในช่วงฤดูฝน เพื่อไปวางไข่ในบริเวณต้นน้ำ ซึ่งเป็นวงจรปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พวกเขาจึงคิดค้น “ตะนอ” ขึ้นเพื่อดักจับปลาเหล่านี้ โดยไม่ทำลายระบบนิเวศหรือเบียดเบียนประชากรปลา
โครงสร้างของตะนอทำจากไม้ไผ่ที่ถูกจัดเรียงให้เป็นตารางใต้ผิวน้ำ โดยเว้นระยะห่างเพื่อให้ปลาเล็กและลูกปลาสามารถว่ายผ่านไปได้ ส่วนปลาขนาดใหญ่ที่พร้อมสำหรับการบริโภคจะถูกบังคับให้ว่ายเข้าช่องดัก ซึ่งเป็นบ่อเก็บปลาที่จัดเตรียมไว้ นี่คือความชาญฉลาดของ “ตะนอ” ที่ช่วยให้การดักจับปลามีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้ปลาทั้งหมดถูกจับมาในครั้งเดียว แต่ปล่อยให้วงจรชีวิตของลูกปลา หรือ ปลาขนาดเล็กยังคงเติบโตและดำเนินชีวิตตามธรรมชาติต่อไป กระบวนการนี้สะท้อนถึงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน “ตะนอ” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือหาปลา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสมดุลระหว่างการหาเลี้ยงชีพและการรักษาธรรมชาติ ชาวบ้านสามารถจับปลาเพื่อเป็นอาหารในครัวเรือนโดยไม่ทำลายระบบนิเวศ หรือส่งผลกระทบต่อการลดจำนวนปลาลงอย่างถาวร แต่ยังคงมีสมดุลระหว่างธรรมชาติและการเลี้ยงชีพ
การใช้งาน “ตะนอ” ในชุมชนสบโขงยังคงเป็นสิ่งที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่จะเข้ามามีบทบาทในหลายด้าน แต่ภูมิปัญญาในการใช้ตะนอยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการดำรงชีวิตของชุมชน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรู้และทักษะเหล่านี้ไม่ได้ล้าสมัย แต่กลับเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อธรรมชาติ
การที่ชาวบ้านยังคงรักษาวิถีการจับปลาด้วย “ตะนอ” แสดงถึงความเข้าใจลึกซึ้งในธรรมชาติและความเคารพต่อสิ่งแวดล้อม พวกเขาไม่ได้มองการจับปลาว่าเป็นเพียงการหาอาหาร แต่ยังมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติอย่างแนบแน่น “ตะนอ” จึงเป็นมากกว่านวัตกรรมทางเทคนิค แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและมรดกทางจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
ความสำคัญของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิมในยุคสมัยใหม่ซึ่งเป็นยุคที่การพัฒนาเทคโนโลยีและการทำประมงเชิงอุตสาหกรรมขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นเช่น “ตะนอ” กลับกลายเป็นสิ่งที่หายาก การดักจับปลาด้วยวิธีนี้ไม่เพียงแต่ลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง เช่น น้ำมันหรือพลังงานในการขนส่ง แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในยุคที่ปัญหาการทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ “ตะนอ” ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนานวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากการสังเกตและการเรียนรู้จากธรรมชาติ มันเตือนให้เราตระหนักถึงความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวและสร้างสิ่งที่ยั่งยืนได้จากธรรมชาติโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนหรือก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม
“ตะนอ” เป็นเครื่องยืนยันถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ มันเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้านชุมชนสบโขง ซึ่งไม่เพียงช่วยให้พวกเขาสามารถหาเลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยรักษาระบบนิเวศในแม่น้ำเงาไว้ การอนุรักษ์วิถีชีวิตและนวัตกรรมเช่นนี้ไม่เพียงแต่สำคัญต่อชุมชนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสำหรับสังคมสมัยใหม่ในการค้นหาวิธีการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและเคารพต่อสิ่งแวดล้อม
ในโลกที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การกลับไปค้นพบภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่โบราณชวนให้เราหยุดคิดถึงความเรียบง่ายและความชาญฉลาดของคนรุ่นก่อน ที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความอยู่รอดจากสิ่งที่ธรรมชาติได้มอบให้ “ตะนอ” เป็นตัวอย่างหนึ่งของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้และความเชี่ยวชาญของชาวบ้านในชุมชนสบโขง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในการดักจับปลาจากแม่น้ำเงา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของชุมชนมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน
--------------
เขียนโดย : จอกิบู
--------------
มานิ: วิถีวัฒนธรรมที่ต้องรักษา จุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวิถีวัฒนธรรมของชาวมานิในประเทศไทยเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาเชื่อมโยงกับป่าธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง และต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่รวดเร็ว การรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวมานิไปพร้อมกับการส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัดและโตนงาช้าง เป็นความพยายามที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ตั้งแต่ภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่น
บทบาทของการริเริ่มอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วม (Inclusive Conservation Initiative - ICI)
โครงการ ICI เป็นความริเริ่มที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่า พร้อมกับส่งเสริมการดำรงชีวิตของชาวมานิอย่างยั่งยืน หลักการสำคัญของโครงการคือการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการคุ้มครองวิถีวัฒนธรรมและสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัดและโตนงาช้าง
ในฐานะผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือชาวมานิในพื้นที่ป่าบอน จังหวัดพัทลุง ผู้เขียนได้เห็นถึงความท้าทายของชาวมานิในด้านการดำรงชีวิต การเข้าถึงทรัพยากร และโอกาสทางการศึกษา ตัวอย่างเช่น เด็กชาวมานิ 14 คนที่ต้องการเรียนหนังสือ แต่ไม่มีที่พักที่ปลอดภัยในช่วงเปิดภาคเรียน ได้รับการดูแลจากผู้เขียนในบ้านของตนเอง ทั้งเรื่องที่พัก อาหาร และการไปโรงเรียน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีระบบสนับสนุนอย่างยั่งยืนมากกว่าความช่วยเหลือเฉพาะหน้า
ความสำคัญของการคุ้มครองวิถีชีวิตชาวมานิ
ชาวมานิ หรือกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองในภาคใต้ของประเทศไทย ปัจจุบันมีอยู่ 11 กลุ่ม รวมประมาณ 415 คน โดยกระจายตัวอยู่ในจังหวัดตรัง (3 กลุ่ม) สตูล (4 กลุ่ม) พัทลุง (2 กลุ่ม) และสงขลา (1 กลุ่ม) วิถีชีวิตของชาวมานิพึ่งพิงป่าอย่างมาก ตั้งแต่การล่าสัตว์ การเก็บหาของป่า ไปจนถึงการใช้สมุนไพรในการรักษาโรค แต่การขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรม เช่น การปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน รวมถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ป่า ได้ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิตของชาวมานิในหลายมิติ
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้กระทบเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ แต่ยังทำให้เกิดความไม่มั่นคงในวิถีชีวิตของชาวมานิ ทั้งในด้านการหาอาหาร การดำรงชีวิต และความสัมพันธ์กับระบบนิเวศเดิม การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุม โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมบทบาทของชาวมานิในการจัดการทรัพยากรและสร้างความร่วมมือกับชุมชนรอบข้าง
ความหวังใหม่ในการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วม
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้องคำนึงถึงทั้งมิติของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและมิติของความยุติธรรมทางสังคม การมีส่วนร่วมของชาวมานิในฐานะผู้ดูแลป่าดั้งเดิม เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โครงการ ICI จึงมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชาวมานิ หน่วยงานรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการจัดการทรัพยากรที่สมดุลระหว่างการอนุรักษ์ป่าและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง
จากการจัดงานสานสัมพันธ์ สืบสานวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์มานิในครั้งนี้ ได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองอย่างท่านชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภา 2 สมัย เข้ามาให้กำลังใจ เยี่ยมเยือน และพูดคุยกับพี่น้องชาวมานิอย่างเป็นกันเอง แม้จะดึกดื่นค่ำคืนและเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนท่านก็ยังสละเวลามาหาชาวมานิที่เป็นกลุ่มชนเผ่าเล็กๆ ที่ไม่มีใครให้ความใส่ใจด้วยซ้ำไป ทำให้เกิดกำลังใจในการช่วยเหลือชาวมานิเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“เราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการผสมผสานวิถีชีวิตดั้งเดิมและการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” คำกล่าวนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความฝันของชาวมานิ แต่ยังเป็นเป้าหมายร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับชาวมานิและสิ่งแวดล้อมที่พวกเขารักและพึ่งพิง.
---------------
เสาวณีย์ วานิชพันธ์ ผู้ดูแลชาวมานิรักษ์ป่าบอน จ.พัทลุง
เมี่ยน หรือ อิ้วเมี่ยน เป็นชนชาติหนึ่งที่มีระบบการผลิตตามจารีตประเพณีที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวพันกับระบบความเชื่อ และการปฏิบัติที่สืบทอดต่อกันมา เริ่มตั้งแต่การเลือกที่ตั้งหมู่บ้าน ที่ตั้งบ้าน ทิศทางการหันของตัวบ้าน เขตบ้าน เขตป่าชุมชน เขตทำไร่ และเขตป่าในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะเรื่อง เขตป่าชุมชน เขตไร่ และเขตป่าเท่านั้น
เขตป่าชุมชน (โหเป๋ยซาน หรือ ชีงเก้ม)
จากวิถีเพาะปลูกแบบดั้งเดิมที่ต้องมีการถางและเผาไร่ ทำให้เมี่ยนเห็นความสำคัญของเขตแนวป้องกันไฟ ทำให้ต้องมี โหเป๋ย-ซาน หรือ ป่าชุมชน ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามไปพื้นที่อื่น นอกจากนี้ โหเป๋ยซานยังให้ประโยชน์เรื่องน้ำ แหล่งอาหาร และเรื่องอื่น ๆ โหเป๋ยซาน มีรัศมีห่างจากหมู่บ้าน 2-3 กิโลเมตร หมู่บ้านเมี่ยนทุกหมู่บ้าน จะมีโหเป๋ยซาน เพื่อ
1.เป็นแหล่งน้ำอุปโภค บริโภค เมี่ยนไม่นิยมหาบ หรือแบกน้ำ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าบ้านมาใช้ แต่จะต่อรางรินจากต้นน้ำ ที่อยู่สูงกว่าระดับหมู่บ้านมาใช้ โหเป๋ยซาน จึงเป็นบริเวณรวมถึงต้นน้ำด้วย การมี โห-เป๋ยซาน เมี่ยนจึงมีน้ำใช้ตลอดฤดูกาล หากน้ำแห้งจนไม่สามารถไหลมาได้ เมี่ยนจะทำพิธี "ชิ้งอวม" (ขอน้ำ)จาก ซุ้ยโก๊วฮู่ง และ อือห๊อยฮู่ง โดยถือฤกษ์เอาวันขึ้นปีใหม่เมี่ยน ตีฆ้อง ตีกลอง เป่าปี่ เดินทวนน้ำตามรางริน ไปยังจุดเริ่มต้นของรางริน (ต้นน้ำ) แล้วขอน้ำจากฮู่งทั้งสอง เอาเกลือห่อใบตองที่เตรียมมา สอดเข้าไปใต้รางริน รางแรกเป็นอันเสร็จพิธี
2.เป็นแนวป้องกันไฟป่า โหเป๋ยซาน เป็นปราการด่านสำคัญยิ่ง ที่คุ้มภัยให้หมู่บ้าน ป้องกันบ้านเรือนชีวิตคน - สัตว์ และทรัพย์สินของชุมชน
3.เป็นเขตให้ความร่มรื่น ชุ่มชื้น และเป็น โหเป๋ยซาน
4.เป็นบริเวณอยู่อาศัย หากินของสัตว์เลี้ยง ที่มิได้ขังไว้เพื่อขุน เป็นบริเวณที่สำหรับหมูคลอดลูก
5.เป็นเขตเก็บ-หาไม้ใช้สอยในครัวเรือน รวมทั้งไม้จริง ไม้ไผ่ เสาบ้าน ไม้ทำคอกสัตว์ เล้าไก่ หาฟืน หน่อไม้ ยาสมุนไพร ผลไม้ป่า ฯลฯ
6. บริเวณดังกล่าวจะไม่ทำไร่ เพราะนอกจากปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังจะทำให้เกิดปัญหาระหว่างสมาชิกในชุมชน จากสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงแบบปล่อย ซึ่งอาจเข้าไปกัดกิน ทำลายพืชผัก ผลไม้ และอื่น ๆ ในไร่ในสวนเสียหายได้
จากความสัมพันธ์ และสำคัญดังกล่าว เมี่ยนจะตั้งหมู่บ้านอยู่ได้ จำต้องดูบริเวณ โหเป๋ยซาน ควบคู่ไปด้วย หากไม่มีบริเวณที่จะเป็น โหเป๋ยซาน ของหมู่บ้านได้ เมี่ยนจะไม่ตั้งหมู่บ้าน
เขตทำไร่
ระยะเลยออกไปจาก โหเป๋ยซาน ซึ่งเป็นบริเวณที่สัตว์เลี้ยงเข้าถึงได้แล้ว จะเป็นเขตทำไร่ข้าว และข้าวโพด ลักษณะการทำไร่ เป็นไร่หมุนเวียน 4-5 ปี และไม่เกิน 7 ปี จะย้อนกลับมาทำที่เดิมอีก (ทิ้งระยะนานเท่าใดขึ้นอยู่กับจำนวนครัวเรือน และบริเวณพื้นที่ของชุมชน) เพื่อให้พื้นที่ได้ฟื้นตัวสร้างความชุ่มชื้น ต้นไม้จะขึ้นมาอีก โดยทั่วไปแล้ว เมื่อฟัน-เผาไร่เสร็จ เมี่ยนจะปลูกทำกินไม่เกิน 2 ปีติดต่อกัน จากนั้นย้ายแปลงหมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
จากความเชื่อแบบ พหุเทวนิยม เมี่ยนเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานที่มีเทพดูแล รักษาอยู่ ดังนั้น
1.การเลือกที่ทำไร่ ก่อนจะออกจากบ้านเมี่ยนจะ "เห่วเมี้ยน" (แจ้งให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วทราบ) เพื่อขอให้เมี้ยน (ผีบรรพบุรุษ) ในเรือน และนอกเรือนช่วยเตือนว่าที่ที่ตั้งใจไปดูเพื่อทำไร่นั้น ครอบครัวของตนสามารถทำได้หรือไม่ โดยการบอกเป็นลางสังหรณ์เช่น อีเก้งร้อง งูเลื้อยตัดหน้า ไก่ตัวเมียขัน นกบินผ่านตรงหน้า ฯลฯ แล้วเผา "เจ๊ยก๋อง" (กระดาษเงิน) และถ้าระหว่างเดินทางไม่มีอะไรผิดปกติเลย จึงจะทำไร่ในที่ตรงนั้น
2.สถานที่เลือกจะทำเครื่องหมายจองไว้เรียกว่า "บะงั้ก" ซึ่งมี 3 ลักษณะ
2.1ทำรูปกากบาดที่ต้นไม้ ตลอดแนวที่จะทำไร่
2.2ถากผิว/เปลือกไม้ คล้ายจะติดตา แล้วเอาไม้อีกชิ้นหนึ่งใส่ลงไป ถ้าหงายเนื้อไม้ออก หมายถึง จะทำไร่ปีนี้ คว่ำเนื้อไม้เข้าหาต้นไม้ เป็นการจองไว้ยังไม่ทำปีนี้
2.3ปักไม้แล้วผ่าแฉก เอาไม้ยาวประมาณ 1 ฟุต วางไขว้กัน
3.วันถางไร่ วันแรกที่ไปถางต้อง "เห่วเมี้ยน" อีกก่อนลงมือถาง-ทำงาน "เห่วเมี้ยน" อีกเพื่อขอ อนุญาตจากเทพผู้ดูแลพื้นที่ว่าทำไร่ ณ ที่ที่ถางได้หรือไม่ โดยเทพจะบอกเป็นลางสังหรณ์ เช่น แมลงวันไข่ในห่อข้าว ที่นอน ผ้าห่ม ฯลฯ หากบริเวณนั้นมีหนองน้ำจะเว้นไว้ การตัดฟันต้องไม่ให้ต้นไม้ ต้นหญ้าล้มทับหนองน้ำด้วย จุดต้นน้ำที่ชื้นแฉะ ต้นไม้ใหญ่ ๆ จะปล่อยทิ้งไว้ ยกเว้นจำเป็นจริง ๆ เพราะเชื่อว่าต้นไม้นั้น ๆ มี "เฮี้ยเมี้ยน"หรือ "เยี่ยนฟิวเมี้ยน" (เทพารักษ์) อาศัยและดูแลรักษาอยู่ หากฟันต้นไม้เท่ากับทำลายบ้านที่อยู่อาศัยของเทพ จึงต้องทำพิธีเซ่นไหว้ อัญเชิญให้ไปอยู่ที่อื่น การจะรู้ว่าขออนุญาตตัดต้นไม้นั้นได้หรือไม่ โดยการเอาลิ่ม หรือเหรียญทองเหลืองตอกเข้าไปในต้นไม้ทิ้งไว้หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นลิ่มหรือเหรียญยังคงคาอยู่ที่ต้นไม้ เทพอนุญาตให้ตามขอ ตรงกันข้ามถ้าลิ่มหรือเหรียญนั้นเด้งหลุดออกไปก็ไม่ควรทำไร่หรือฟันต้นไม้นั้น ๆ เมี่ยนยังเชื่ออีกว่า
- ต้นไทร ต้นโพธิ์ มี " เยี่ยนฟิวเมี้ยน " อาศัยอยู่
- หนองน้ำมี " จย้างเมี้ยน " อาศัยอยู่
- ต้นน้ำ ลำห้วยมี " ซุ้ยโก๊วเมี้ยน " อาศัยอยู่
- ป่าเขา มี " เต่ยปูงเมี้ยน " อาศัยและดูแลอยู่
ดังนั้นการจะทำอะไรต้องระมัดระวัง หากทำให้เมี้ยน ซึ่งสถิตอยู่ทุกหนแห่โกรธ หรือได้รับความเดือดร้อน เมี้ยนจะทำให้เมี่ยนเจ็บป่วย หรือต้องชดใช้ด้วยชีวิต
การเดินทาง การทำงานในไร่ เมี่ยนจะถูกสอนไม่ให้พูดจาลักษณะเหยียดหยาม เย้ยหยัน หมิ่น หรือสิ่งใด ๆ ที่มิควร ซึ่งอาจกระทบกระเทือนกับเจ้าเทพ เทพาทั้งหลายในบริเวณนั้น
เขตป่า เขตป่าเป็นบริเวณห่างไกลจากหมู่บ้านมากที่สุด เป็นที่หาของป่าที่สำคัญ และล่าสัตว์
1.ของป่าที่เมี่ยนนิยมหามีทั้ง ของอุปโภค บริโภค
1.1 ประเภทของบริโภค ได้แก่ หน่อไม้ หน่อหวาย ผลไม้ป่า ดอกกล้วย ยอดตาว ยอดปาล์ม น้ำผึ้ง สะค้าน (ตะค้าน) ยอดและใบไม้เลื้อยนานาชนิด
1.2 ประเภทอุปโภค ได้แก่ ไม้ก่อสร้างบ้าน ประเภทถาวร ที่หาจากบริเวณ โหเป๋ยซาน ไม่ได้ เพราะเมี่ยนมีความเชื่อในการใช้ไม้บางประเภท เช่น ฝาบ้านต้องเป็นไม้ล่อเห่ดยั๋งแมง เปี๊ยวต้นก่อจวย ตะจู้ง ไม้ที่ใช้มุงต้องเป็น ตะซำ เปี๊ยวนา เซว เป็นต้น นอกจากไม้ยังมีหวายใช้ในการจักสาน ใบค้อ ยางไม้ ไม้ไผ่บางชนิด และอื่น ๆ
2. ล่าสัตว์ เมี่ยนเมื่อว่างจากงานตามฤดูกาลแล้ว มักจะจับกลุ่มล่าสัตว์ บริเวณล่าสัตว์เป็นป่าลึกต้องเดินทางจากหมู่บ้าน 2-3 วันขึ้นไป และตั้งแคมป์
2.1สัตว์เล็กประเภท นก กระแต กระรอก ตะกวด จะเป็นสัตว์ประเภทรอง โดยจะล่าสัตว์ใหญ่ก่อน หากไม่ได้จนที่สุดจึงล่าสัตว์เล็ก และสัตว์เล็กนี้เมื่อล่ามาได้ เมี่ยนจะไม่ " ปุ้ยจ้อย " (พิธีขอบคุณ " อ้อเมี้ยน " ซึ่งเป็นเมี้ยน (ผีบรรพบุรุษ) ในเรือน ที่ทำหน้าที่เจรจาขอแบ่งปันสัตว์จากผู้ดูแลเลี้ยงดูสัตว์นั้น ๆ กับทั้งช่วยในการไล่ต้อนสัตว์มาให้พรานได้เห็นและล่าได้
2.2 สัตว์ขนาดกลาง เมื่อล่าได้จะต้อง " ปุ้ยจ้อย " เช่น เม่น อีเห็น ลิง ค่าง กระจง นางอาย เก้ง หมีขอ
2.3 สัตว์ใหญ่ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการรอนแรม เพื่อล่าเป็นอาหารได้แก่ หมูป่า กวาง หมี กระทิง ควายป่า สัตว์เหล่านี้ เมี่ยนมีข้อห้ามว่า พรานแต่ละคนจะล่าได้ไม่เกิน 5 ตัวต่อปี โดยปกติ เมี่ยนจะล่า 4 ตัวแล้วหยุดล่า ตัวที่ 5 จะเก็บไว้ยามจำเป็นหรือฉุกเฉิน ถือเป็น การเก็บไว้แก่ตน ( เช่นเดียวกับพิธีกรรมบางพิธีกรรม ) หากล่าเกินจำนวนนี้ ผู้ล่า (พราน) จะมีอันเป็นไป เช่น ถูกพรานด้วยกันเห็นว่าเป็นสัตว์ป่าแล้วยิง หรือเห็นคนอื่น เป็นสัตว์แล้วยิง ถูกของมีคม ถูกสัตว์ทำร้าย ดังมีตัวอย่างให้เห็นอยู่เนือง ๆ เมี่ยนจึงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
* สัตว์ใหญ่นี้เมื่อล่าได้จะต้อง "ปุ้ยจ้อย" เช่นกัน นอกจากนี้ต้องขอบคุณ "
ยู่งจ้อย โก๋วจ้อยเมี้ยน ด้วย เพราะคนเมี่ยนเชื่อว่าสัตว์ทุกตัว ทุกชนิดนั้นมีเจ้าของ เหมือนสัตว์เลี้ยง การล่าได้เป็นการแบ่งปันเอื้อเฟื้อจากเจ้าของสัตว์นั้น ๆ "ยู่งจ้อยเมี้ยน" คือ เมี้ยนที่ทำให้สัตว์เกิดและเป็นผู้เลี้ยงดูสัตว์ " โก๋วจ้อยเมี้ยน " เป็นเมี้ยนที่คอยดูแล เฝ้าระวังรักษาติดตามสัตว์
ดังนั้นเวลา ปุ้ยจ้อย จึงต้องเชื้อเชิญทั้ง อ้อเมี้ยนในเรือน เมี้ยนผู้ดูแลสัตว์ เมี้ยนเจ้าของสัตว์และ ตะปูงเต่ยเจี้ยวเมี้ยน (เทพที่ดูแลพื้นที่) ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ที่สัตว์อยู่อาศัยหากิน ระหว่างการปุ้ยจ้อย เมื่อพูดถึงเมี้ยนใดจะให้เจ้ยก๋อง (กระดาษเงิน) เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำงานให้ ที่เสียเวลาให้เป็นค่าตอบแทนที่เลี้ยง-แบ่งปันสัตว์ให้ ถือเป็นเงินค่าตอบแทน แลกเปลี่ยน จึงไม่มีการได้เปล่าจากการล่าแต่ประการใด
มอ เล เว
พิธีเลี้ยงเทพารักษ์ เจ้าป่า เจ้าเขาของชาวลาหู่
ยาก้วย บูทะ
ความหมายของ “ พิธีกรรมมอเลเว ”
พิธีมอเลเวนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการทำพิธีในเดือน 9 (ลาหู่) ก่อนเข้าพรรษา ซึ่งในปัจจุบันหมู่บ้านส่วนมากจะไม่ค่อยนิยมทำกัน แต่บางหมู่บ้านยังมีการทำพิธีนี้อยู่โดยผู้นำศาสนามีการทำพิธีปีละ 1 ครั้ง ในเดือน 9 ก่อนเข้าพรรษา
พิธีกรรมนี้เป็นพิธีของหมู่บ้านซึ่งทุกครอบครัวจะต้องมีตัวแทนทั้งหญิงและชาย รวมทั้งคนเฒ่าคนแก่เข้าร่วมในพิธีนี้ ปัจจุบัน “มอเลเว” ไม่ใช่พิธีกรรมของคนทั้งหมู่บ้าน กลายเป็นพิธีของครอบครัว และเครือญาติ จึงมีคนสืบทอดพิธีกรรมนี้น้อยลง
พิธี มอเลเว มีความสำคัญอย่างไร
พิธีนี้กระทำเพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณของเทพาอารักษ์ ขอบคุณเทพาอารักษ์ในการปกป้องดูแลพืชผลในไร่ให้ได้ผลผลิตดี ทั้งของในไร่ และของในป่าที่ทำให้คนในหมู่บ้านมีกิน มีใช้ ช่วยปกป้อง รักษาดูแลผู้คนในหมู่บ้านไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย และคุ้มครองรักษาคนในหมู่บ้านให้อยู่ดีมีสุข
เพื่อขอให้เทพช่วยดูแล ป้องกันไม่ให้แมลง หนู มากัดกินพืช ของพระเจ้า อวยพรให้ชีวิตเขาดีขึ้น ขอให้เทวดาช่วยคุ้มครองพืชผล และขอสิ่งให้ได้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตและครอบครัว รวมทั้งขอบคุณในปีที่ผ่านมา และขอปกปักรักษาในการดูแลต่อไป ใช้กระดูกขาไก่มาเสี่ยงทายดูว่าคนในหมู่บ้านสุขสบายดีหรือไม่ โรคภัยเบียดเบียนหรือไม่ ข้าวปลาอาหารพอเพียงหรือไม่ ในหมู่บ้านจะเกิดภัยพิบัติอะไรบ้าง หรือการทำนายทายทักเช่น ลางไม่ดี คนอยู่ไม่ได้ มีสงคราม
สิ่งที่ใช้ในการทำพิธี “ เครื่องเซ่น “
หมู ไก่ ข้าวสาร เทียนไข และพืชพรรณธัญญาหารที่ได้จากไร่ เช่น ข้าวโพด ถั่วแดง ถั่วเหลือง แตง เผือก พริก ขิง เม็ดทานตะวัน ฯลฯ
ใช้ไม้ไผ่และไม้ ทำหิ้งสำหรับวางเครื่องถวายบูชาเทพ ได้แก่ เทียนไข ข้าวสาร ข้าวตอก ดอกไม้
วันแรกเตรียม “ข้าวตอก ดอกไม้” วันที่ 2 วันประกอบพิธีกรรม
ผู้ประกอบพิธี
คนทำพิธี มี 2 คน คือผู้นำศาสนา และผู้นำพิธีกรรม (โตโบ) คนใดคนหนึ่ง
สถานที่ในการประกอบพิธี ทำบนภูเขายอดที่สูงสุดในบริเวณนั้น อุดมสมบูรณ์ที่สุด พื้นที่ที่มีต้นไม้สูง และตระหง่านงามที่สุด ป่าที่ทำพิธีกรรมนี้คือ ป่าที่ชาวลาหู่เรียกว่า แย้เขาะ หรือ ป่าดงดิบ
ข้อห้ามในบริเวณที่ทำพิธีกรรม
ห้ามตัดต้นไม้ ห้ามหาของป่าทุกชนิด ห้ามเด็ดใบไม้ ห้ามล่าสัตว์ ห้ามเผาป่า ห้ามปล่อยสัตว์เลี้ยงเข้าไป
ในยุคปัจจุบันที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ของพันธุ์พืชพื้นบ้านในชุมชนชาติพันธุ์กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ กระแสการส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจ และกระแสนิยมการบริโภคที่พึ่งพาตลาดภายนอกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พันธุ์พืชพื้นบ้านยังคงสะท้อนถึงรากเหง้าและภูมิปัญญาที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับธรรมชาติ
ความหลากหลายของพันธุ์พืชพื้นบ้าน: สมบัติทางธรรมชาติที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ในวิถีดั้งเดิม ชุมชนชาติพันธุ์ได้อนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านอย่างประณีต ผ่านกระบวนการคัดสรรและเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ตามความเชื่อและภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การเก็บเมล็ดพันธุ์ในเวลาที่เหมาะสม และการเก็บรักษาในลูกน้ำเต้าหรือบนชั้นวางเหนือเตาไฟเพื่อไล่ความชื้นและป้องกันแมลง สิ่งนี้ไม่เพียงแสดงถึงความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ยังสะท้อนถึงความเอื้อเฟื้อและการแบ่งปันกันในชุมชนและต่างชุมชน พันธุ์พืชเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศและโรคระบาด แต่ยังมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศเกษตร ด้วยการปลูกแบบผสมผสานที่ให้ผลผลิตหลากหลายตลอดทั้งปี เช่น ผักกาด พริก แตงกวา ถั่ว ฟักเขียว ฟักทอง ฯลฯ ทำให้ครัวเรือนมีอาหารที่เพียงพอและหลากหลาย
ความท้าทายที่กระทบต่อความหลากหลายของพันธุ์พืชพื้นบ้าน
ปัจจุบัน ความหลากหลายของพันธุ์พืชพื้นบ้านกำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วง เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น การใช้สารเคมีในภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้น ทำให้พืชพื้นบ้านถูกทำลายไปพร้อมกับวัชพืชในไร่นา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทำกินเป็นพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว ซึ่งต้องการพื้นที่และการดูแลอย่างเข้มข้น
อีกปัจจัยสำคัญคือการขาดแคลนที่ดินทำกินที่มั่นคง เนื่องจากยังไม่มีการจัดการเรื่องสิทธิในที่ดินที่ชัดเจนในหลายชุมชน ทำให้ไม่สามารถรักษาพื้นที่ปลูกพืชพื้นบ้านได้ นอกจากนี้ การสืบทอดภูมิปัญญารุ่นต่อรุ่นยังลดลงเนื่องจากคนวัยแรงงานเริ่มออกไปทำงานในเมือง และไม่มีการรวบรวมองค์ความรู้ในเชิงระบบ
การส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านเพื่อความยั่งยืน
การอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านจึงต้องได้รับการสนับสนุนทั้งในระดับชุมชนและระดับนโยบาย หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรร่วมมือกันเพื่อสร้างความมั่นคงด้านสิทธิที่ดินทำกิน ส่งเสริมการปลูกพืชพื้นบ้านผ่านการวิจัยและพัฒนาวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสมในระดับชุมชน การฟื้นฟูพิธีกรรมและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพันธุ์พืชพื้นบ้าน เช่น การบูชาเทพเจ้าที่ดูแลรักษาเมล็ดพันธุ์ รวมถึงการเผยแพร่ภูมิปัญญาเรื่องการคัดเลือกและเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์
พันธุ์พืชพื้นบ้าน: ความหวังของอนาคต
พันธุ์พืชพื้นบ้านไม่เพียงแต่เป็นแหล่งอาหารและยาเท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกที่บรรจุเรื่องราวของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ การรักษาพันธุ์พืชพื้นบ้านจึงไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์พืช แต่เป็นการปกป้องรากฐานของความมั่นคงทางอาหาร และส่งต่อภูมิปัญญาที่ทรงคุณค่าให้กับคนรุ่นต่อไป ในอนาคตหากเราสามารถเชื่อมโยงความรู้ดั้งเดิมกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และสร้างเครือข่ายชุมชนที่ร่วมมือกันอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านได้ ความหลากหลายของพันธุ์พืชเหล่านี้จะกลายเป็นจุดแข็งที่ยั่งยืนสำหรับชุมชนชาติพันธุ์ และเป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลที่โลกต้องการในปัจจุบัน
"พันธุ์พืชพื้นบ้านเปรียบเสมือนสมบัติที่เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรมไว้ด้วยกัน หากเราสามารถรักษาเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ นี้ไว้ได้ เราไม่เพียงปกป้องอาหารและวิถีชีวิตของเรา แต่ยังส่งต่อมรดกทางภูมิปัญญาให้คนรุ่นถัดไปได้อย่างยั่งยืน พันธุ์พืชพื้นบ้านอาจเป็นคำตอบที่โลกต้องการในวันที่ต้องการความสมดุลและการฟื้นฟู"
ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้งแล้งเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม-พฤษภาคม หลายพื้นที่ในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย เช่น เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ลำปาง ลำพูน ฯลฯ ต้องประสบกับปัญหาสถานการณ์เรื่องหมอกควันไฟ ซึ่งมีปริมาณมากเกินไปจนถึงขั้นมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนที่อยู่ในพื้นที่ เช่น ก่อให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจ การระคายเคืองของตา ผิวหนัง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบถึงภาคการท่องเที่ยวด้วย
สาเหตุของปัญหาส่วนหนึ่งรัฐมองว่าเกิดจากความต้องการเก็บหาของป่า ล่าสัตว์และการกำจัดวัชพืชในที่ดินทำกินของเกษตรกรที่อยู่ใกล้พื้นที่ป่า เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกโดยไม่มีการควบคุม ทำให้ไฟไหม้ลุกลามเข้าไปติดป่ากลายเป็นไฟป่า ประเด็นดังกล่าวรวมไปถึงการทำไร่ของชุมชนบนพื้นที่สูงด้วย โดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนซึ่งต้องมีการตัดและเผาก่อนที่จะทำการเพาะปลูก ดังนั้นรัฐจึงออกมาตรการแก้ไขปัญหาซึ่งมีทั้งมาตรการทางกฎหมายและนโยบายซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนบนพื้นที่สูง โดยเฉพาะต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านซึ่งต้องพึ่งพาทรัพยากรป่าไม้ในการยังชีพ
ปัญหาไฟป่าและหมอกควันถูกเชื่อมกับประเด็นการเมืองเรื่องโลกร้อน โดยเฉพาะบทบาทของป่าไม้ในการดูดซับก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ ดังนั้นการเกิดขึ้นของไฟป่าจึงง่ายต่อการใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและการจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ในป่า โดยเฉพาะชนเผ่าพื้นเมืองที่ยังมีระบบการผลิตแบบไร่หมุนเวียนอยู่
ประเด็นนี้มีความสำคัญและควรจะมีการทำการศึกษาและทำความเข้าใจในเชิงลึกมากขึ้น
ผลกระทบของปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่มีต่อชุมชนบนพื้นที่สูง
ผลกระทบของปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่มีต่อชุมชนบนพื้นที่สูงในภาพรวมยังวนเวียนอยู่ในประเด็นอคติทางชาติพันธุ์ นอกจากนี้รัฐยังมีการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นโดยเฉพาะการเผาไร่
รัฐเองเดิมทีก็มีอคติต่อชุมชนบนพื้นที่สูงอยู่แล้วโดยมองว่าชุมชนบนพื้นที่สูงเป็นปัญหาโดยเฉพาะปัญหาความมั่นคงของชาติเนื่องจากตั้งถิ่นฐานอยู่ตามแนวชายแดน เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการเสื่อมโทรมของทรัพยากรเนื่องจากมีการทำไร่แบบเคลื่อนย้ายที่ หรือไร่หมุนเวียน และเกี่ยวพันกับปัญหายาเสพติดเนื่องจากในอดีตมีการปลูกพืชฝิ่น ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นจึงไม่แปลกใจว่า ชุมชนบนพื้นที่สูงจึงถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการศึกษาต้นตอของปัญหาอย่างละเอียด ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่าอคติทางชาติพันธุ์ยังคงอยู่และชุมชนบนพื้นที่สูงมักจะถูกมองเป็นจำเลยของสังคมเสมอ
รัฐเพิ่มมาตรการการควบคุมที่เข้มงวด
ปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่เกิดขึ้น รัฐมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นโดยเฉพาะการควบคุมระบบการเผาไร่ในพื้นที่ดังจะเห็นได้จากประกาศที่ทางจังหวัด หรือทางกรมฯ ออกมา ให้งดเว้นการเผาทุกชนิดโดยเด็ดขาด และมีการเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรง แม้ว่าระยะหลังจะมีการคลายมาตรการลงบ้าง เช่น ถ้าจำเป็นต้องเผาต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่ดูแลในพื้นที่ก่อน แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีปัญหาอยู่
มาตรการดังกล่าวทำให้ชุมชนต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะมีเจ้าหน้าที่มาลาดตระเวนและติดตามในพื้นที่ตลอด ชาวบ้านบางส่วนต้องเลื่อนระยะเวลาการเผาไร่ออกไป ซึ่งมีผลกระทบต่อวงจรการเพาะปลูกบ้างเพราะต้องร่นเวลาออกไป แต่ผลกระทบดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากชาวบ้านมีระบบการจัดการไฟที่มีระบบและประสิทธิภาพอยู่แล้วทั้งในระบบชุมชนและระดับเครือข่ายลุ่มน้ำ
การปรับตัวและการแก้ไขปัญหาของชาวบ้าน
บางหมู่บ้านที่ยังทำไร่หมุนเวียนอยู่ เช่น ชุมชนกะเหรี่ยง ชุมชนลเวือะ และชุมชนอื่นๆ พบว่าชาวบ้านนั้นมีองค์ความรู้ในการจัดการไฟอยู่แล้วโดยเฉพาะในไร่หมุนเวียน องค์ความรู้ดังกล่าวต่อมาได้พัฒนาและนำไปใช้สำหรับการจัดการไฟป่าในระดับชุมชนและระดับเครือข่ายลุ่มน้ำด้วย
ก. #ความเชื่อและความสำคัญเรื่องไฟของปกาเกอะญอ
ชาวปกาเกอะญอมีคำกล่าวถึงไฟโดยอุปมาเปรียบเปรยกับน้ำว่า “น้ำทำให้สะอาดสะอ้าน ไฟทำให้เกลี้ยงเกลา” ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่ทั้งสองอย่างต่างช่วยทำให้โลกใบนี้สะอาดและก่อเกิดความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่ขึ้นมาได้ เวลามีสิ่งสกปรกเกิดขึ้นจะต้องชำระล้างด้วยน้ำจึงจะทำให้เกิดความสะอาด เช่นเดียวกันเวลามีขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล หรือแม้แต่ซากศพ จะต้องชำระให้เกลี้ยงเกลาไปด้วยไฟ ไฟจะช่วยเผาผลาญทุกสิ่ง ไฟช่วยสร้างชีวิตใหม่ บรรดาสัตว์และพืชหลากหลายชนิดรวมทั้งมนุษย์ต่างได้รับชีวิตใหม่จากไฟ ไฟจึงถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องอยู่ควบคู่กับโลกมนุษย์ ช่วยเผาผลาญทำให้โลกใบนี้ได้สะอาดและก่อเกิดความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่ขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าไฟมีคุณอนันต์ต่อสัตว์และพืชรวมทั้งมนุษย์ ถ้าหากมนุษย์รู้จักใช้มันอย่างถูกต้อง ไฟไม่ใช่ของธรรมดา สำหรับชาวปกาเกอะญอแล้วถือว่าไฟคือเทพเจ้าด้วย ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพบูชา (จากคำบอกเล่าของพะตี่โม๊ะเละ มุสุลอยผู้นำชาวบ้านจากบ้านแม่จอก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่) หลังจากการเผาไร่แต่ละครั้ง เจ้าของไร่จะต้องไปประกอบพิธีขอขมาและขอบคุณต่อไฟ โดยใช้ไก่ตัวผู้สีแดงหนึ่งตัวเป็นเครื่องเซ่น
ข. ความสำคัญของไฟและการจัดการไฟในระบบการผลิตแบบไร่หมุนเวียน
หัวใจหลักของไร่หมุนเวียนคือการโค่นและเผา การเผาถือเป็นขั้นตอนที่จำเป็นและสำคัญมาก เพราะว่าไฟจะช่วยย่อยสลายธาตุอาหารที่อยู่ในต้นไม้เพื่อให้พืชได้ใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารนั้นได้ทันท่วงที โดยเกษตรกรไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี
ก่อนการเผาไร่แต่ละครั้งนั้นชาวบ้านจะมีการทำแนวกันไฟรอบพื้นที่ไร่ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ลามออกจากพื้นที่ไร่ไปสู่ป่าใหญ่ การเผาจะเริ่มจากการจุดจากบนไร่ลงมาก่อน พอเห็นว่าไฟลามลงไปกลางไร่พ้นระยะอันตรายแล้ว ผู้ที่อยู่ท้ายไร่ก็จะทำการจุดไฟสบทบขึ้นไป ไร่ที่ไหม้ไม่สมบูรณ์ เจ้าของไร่ต้องเสียเวลาในการเก็บรวบรวมเศษไม้ที่เหลือจากการเผาครั้งแรกมาเผาอีกครั้งหนึ่ง ในไร่จะอุดมไปด้วยต้นหญ้าทำให้ต้องใช้เวลาในการดายหญ้า และผลผลิตที่ได้ก็จะไม่งอกงามเท่าที่ควร ดังนั้นการเผาไร่จึงต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษเพื่อให้การเผาไร่แต่ละครั้งสมบูรณ์
เมื่อต้นข้าวเจริญเติบโตขึ้นมาได้ราวหนึ่งคืบกว่าๆ เจ้าของไร่จะต้องไปประกอบพิธีเลี้ยงผีไฟตามที่เคยบนบานไว้ตอนเผาไร่ โดยอธิษฐานว่า “เจ้าแห่งไฟตัวเมีย เจ้าแห่งไฟตัวผู้ ที่ผ่านมานั้นข้าเรียกเจ้า ข้าตะโกนเจ้า ข้าดุเจ้า ข้าด่าเจ้า ข้าใช้เจ้าให้ทุกข์ยาก ข้าใช้เจ้าให้ลำบาก ข้าใช้เจ้าให้ร้อนระอุ ข้าใช้เจ้าให้ร้อนอบอ้าว เจ้าอยู่ที่ไหนๆ ข้าก็ตะโกนเรียกเจ้า อยู่ทิศเหนือ อยู่ทิศใต้ อยู่ทิศตะวันออก อยู่ทิศตะวันตก อยู่บนดิน อยู่บนฟ้า อยู่บนต้นไม้ อยู่บนต้นไผ่ ข้าขู่เข็ญเจ้า ข้าบังคับเจ้า ให้เจ้ารีบมา ให้เจ้าเร่งมา ให้มากินรอยมือข้า ให้มากินรอยเท้าข้า ให้มากินรอยขวาน ให้มากินรอยมีด อาจทำให้เจ้าทุกข์ยากกาย อาจทำให้เจ้าลำบากใจ อาจทำให้เจ้าหงุดหงิด อาจทำให้เจ้าโมโห ในวันนี้ข้ามาเลี้ยงเจ้าให้เย็นลง มาเลี้ยงเจ้าให้ฉ่ำลง มาเลี้ยงเจ้าด้วยไก่ตัวผู้สีแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ตามที่ข้าได้สัญญาไว้เมื่อครั้งเผาไร่ มาดื่มเลือดนก มากินเนื้อไก่ อย่าร้อนใส่ไร่ อย่าร้อนใส่สวน อย่าร้อนใส่ข้าวเปลือก อย่าร้อนใส่ข้าวสาร อย่าร้อนใส่ลูกหมู อย่าร้อนใส่ลูกไก่ อย่าร้อนใส่วัว อย่าร้อนใส่ควาย อย่าร้อนใส่การเดินทางไป อย่าร้อนใส่การเดินทางกลับ อย่าร้อนใส่หมู่บ้าน อย่าร้อนใส่ชุมชน อย่าร้อนใส่ลูก อย่าร้อนใส่เมียและอย่าร้อนใส่ตัวข้าเลย ข้าจะทำไร่ที่นี่ตลอดทั้งเดือนตลอดทั้งปี ให้เจ้าเย็นลง ให้เจ้าฉ่ำลง ให้เจ้าเงียบลง ให้เจ้าสงบลง กลับมามีความสุขกลับมามีความสบาย กลับมาชุ่มชื่น กลับมาเย็นสบายดั่งเดิมเถิด” (อ้างใน บือพอ, ไร่หมุนเวียนในวงจรชีวิตชนเผ่าของชาวปกาเกอะญอ, บี.เอส.ดี : เชียงใหม่)
ไฟจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อระบบไร่หมุนเวียน และเป็นบ่อเกิดของความหลากหลายทางชีวภาพและพันธุ์พืชอีกมากมาย
การทำไร่นั้นทำให้ป่าฟื้นตัวเร็ว กล่าวคือ ต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นลงในเดือนกุมภาพันธ์และเผาไปในช่วงเดือนเมษายน ตอไม้ใหญ่ส่วนมากจะไม่ตาย จะแตกหน่อออกมาใหม่ในเวลาไม่นาน หลังจากการทิ้งไว้ 3-4 ปีที่ดินที่เคยถูกเผาราบเรียบผืนนั้นจะฟื้นกลับมาเป็นต้นไม้หนุ่มต้นไม้สาว (ดูเย๊าะโปล่) ปกคลุมทั่วไปหมด และกลายสภาพเป็นป่าอีกครั้งหนึ่ง คนโบราณกล่าวว่า
“ไร่นั้นดีกว่านาเป็นไหนๆ ไร่ถือเป็นพี่-นาถือเป็นน้อง เพราะในไร่เราได้ข้าวและอาหารทุกชนิดไม่ต้องซื้อหาอาหารจากที่ไหน ปุ๋ยยาก็ไม่ต้องใช้ ประหยัด เป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืน”
ผลกระทบจากการทำไร่หมุนเวียนต่อภาวะโลกร้อนนั้นอาจจะมีบ้างแต่ไม่มากนัก (คุณชัยประเสริฐ โพคะผู้นำชาวบ้านผู้อยู่กับป่าอย่างกลมกลืนที่บ้านหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย) กล่าวคือไร่แต่ละแปลงนั้นจะมีเวลาพักตัวประมาณ 7 ปี จึงจะมีการตัดและเผาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะปล่อยให้พื้นที่พักฟื้นอีก 6 ปี ซึ่งที่นั้นก็จะกลายสภาพเป็นป่าอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นที่หาอาหารและหลบภัยของสัตว์ป่า-สัตว์เลี้ยงแล้วยังมีบทบาทในการดูดซับคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในบรรยากาศอีกถึง 6 ปีเต็ม ต่างจากนาซึ่งต้องทำทุกปี ไม่เคยฟื้นเป็นป่าได้อีกเลย ไม่ดูดซับคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ มิหนำซ้ำนาพื้นราบปลูกข้าวหลายครั้ง ก็จะเกิดแก๊สมีเทนซึ่งอันตรายมากกว่าคาร์บอนไดอ๊อกไซด์หลายเท่า” (สัมภาษณ์คุณชัยประเสริฐ โพคะผู้นำชาวบ้านผู้อยู่กับป่าอย่างกลมกลืนที่บ้านหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย)
ค.ความสำคัญของไฟต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
พืชอาหารหลากหลายในไร่หมุนเวียนกว่าร้อยชนิดเจริญเติบโตได้ดีในผืนดินที่ผ่านการเผาต้นไม้ต้นไผ่ให้กลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ซึ่งไฟจะช่วยย่อยสลายต้นไม้ให้กลายเป็นธาตุอาหาร ทำให้ไร่มีความหลากหลายทางพันธุ์พืชและความหลากหลายของพืชอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อมนุษย์ โดยปราศจากสารเคมีที่มีอันตราย พืชเหล่านี้มีความคงทนต่อการเก็บถนอมไว้กินในระยะยาวซึ่งต่างจากผลผลิตที่ใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะเน่าเปื่อยหรือบุบสลายเร็วกว่า ดังจะสังเกตเห็นได้จากหอมหัวแดง กระเทียมและแตงกวา ฯลฯ พันธุ์พืชหลายสายพันธุ์ถือเป็นพืชเฉพาะถิ่นไม่อาจหาได้จากที่อื่น
ในอดีตชาวบ้านมีการทำแนวกันไฟเฉพาะในไร่หมุนเวียน เวลามีไฟป่าเข้ามาในเขตหมู่บ้านชาวบ้านก็จะช่วยกันออกไปดับไฟ แต่ในระยะหลัง (ประมาณปี 2535 เป็นต้นมา) ความถี่ของไฟป่าเริ่มมีมากขึ้นชาวบ้าน ผนวกกับกระแสการต่อต้านจากกลุ่มพื้นราบ เช่น ที่อำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ ทำให้ชาวบ้านมีการรวมตัวกันและจัดทำแนวกันไฟของหมู่บ้านขึ้น รวมทั้งร่วมกันไปดับไฟป่าที่เข้ามาในบริเวณเขตป่าของหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดทำระเบียบและกฎเกณฑ์สำหรับควบคุมและดูแลไฟป่าของหมู่บ้าน กิจกรรมการจัดทำแนวกันไฟระยะหลังทางองค์การบริหารส่วนตำบลได้เข้ามาให้การสนับสนุนมากขึ้น
การทำไร่หมุนเวียนกับปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนือของประเทศไทย ปัญหาที่ชุมชนได้รับผลกระทบหลักๆ คือ การตอกย้ำอคติทางชาติพันธุ์ของสังคมในภาพใหญ่ซึ่งยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนบนพื้นที่สูงโดยเฉพาะระบบการทำไร่หมุนเวียน นอกจากนี้ชาวบ้านต้องเผชิญกับมาตรการที่ทางรัฐบังคับเพื่อใช้แก้ไขปัญหาซึ่งมีความเข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ตามชาวบ้านเองก็มีภูมิปัญญาที่ชี้ให้เห็นว่ามีการจัดการไฟที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ไร่หมุนเวียน ภูมิปัญญาและองค์ความรู้ดังกล่าวได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับการทำแนวกันไฟรอบพื้นที่หมู่บ้านด้วย ซึ่งถือเป็นคุณาปการของชาวบ้านที่ได้ช่วยกันดูแลไฟป่าและรักษาผืนป่าเอาไว้
-----------
เขียนโดย: ฝุยุ่น
-----------
พิธีหลื่อเหม่โต(เลี้ยงเทพไฟ) และทำแนวกันไฟ
บ้านแม่ลาคำ
บ้านแม่ลานคำ เป็นหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอ(กะเหรี่ยง) มีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยมายาวนาน กว่า 250 ปี ปัจจุบัน ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มีอาณาเขตพื้นที่ 40,000 กว่าไร่ มีชุมชนทั้งหมด 5 หย่อมบ้าน บ้านแม่ลานคำ บ้านห้วยเหี๊ยะ บ้านใหม่แม่ลานคำ บ้านห้วยหญ้าไทร บ้านสบลาน
ชาวบ้านทั้งหลายมีความสัมพันฉันเครือญาติ รู้จักและมีความเอื้อเฟื้อกันเป็นอย่างดี ในพื้นที่มีทัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอันอุดมสมบูรณ์ โดยมีการจัดการบนฐานประเพณีวัฒนธรรมชุมชน ที่การอนุรักษ์และใช้อย่างยั่งยืน
เมื่อเข้าถึงฤดูร้อนทุกปีจะมีการทำแนวป้องกันไฟป่า เพื่อป้องกันมีคนจุดไฟเผ่า ซึ่งในอดีตเคยมีคนภายนอกแอบลักลอบเผ่าป่าจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเกิดไฟป่าลุกลามเข้ามาในอาณาเขตของหมู่บ้านชาวบ้านต้องไปร่วมกันดับไฟ ในทั้งเวลากลางวันหรือกลางคืน ชาวบ้านแม่ลานคำจึงเกิดแนวความคิดใช้ความเชื่อดั้งเดิมของชาวปกาเกอะญอ มาใช้ร่วมกันจัดการไฟป่าคือพิธี “หลื่อเหม่โต” แปลว่า “เลี้ยงแนวกันไฟ”
โดยมีนายลูเจ๊ะ เป็นผู้อาวุโสเป็นผู้นำพิธีกรรม และลูกบ้าน พ่อบ้านช่วยกัน แม่บ้านทำอาหาร ประกอบพิธีกรรมแจ้งให้เพพไฟที่ป้องกัน และดลบันดาลใจมิให้มีการจุดไฟ และขอให้เจ้าทั้งช่วยปกป้องคุ้มครอง ดูแลชาวทั้งหมดที่งานนี้ พบเจอแต่สิ่งที่ดีงามทั้งสุขภาพร่างกาย การทำมาหากิให้ได้ผล พิธีกรรมนี้ทำกันมาติเต่อกัน กว่า 30 ปี และถือว่าได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ชาวปกาเกอะญอเชื่อว่า ไฟก็มีเทพของตนเองด้วย ดังนั้นเมื่อทำไร่หมุนเวียน ต้องเผ่าไร่อยู่แล้วเมื่อเผาไร่เสร็จ แล้วจะต้อง ทำพิธีขอขมาอภัยกับเทพเจ้าแห่งไฟ เพราะได้ตันฟันไม้ด้วยมีด และเผ่าไร่ด้วยไฟ ไม่ให้เกิดโทษ เลวร้าย ใด ๆ เพราะไฟถือว่าเป็นของร้อน ของอันตราย จึงเลี้ยงเทพเจ้าแห่งไฟ (หลื่อเหม่) ขึ้นในไร่หมุนเวียนทุกปี อธิฐานอัญเชิญเทพเจ้าแห่งไฟ มาเสวยเครื่องเช่นไหว้ที่ได้เตรียมไว้ และให้ช่วยคอยปกป้องรักษา ดูแลพื้นที่ทำกิน
ต่อมาภายหลังได้มีการทะเลาะหรือลักลอบแอบเผาป่า สร้างความเดือดร้อให้แก่คนแม่ลานคำต้องไปดับไฟ บ่อย ๆ ชาวบ้านในพื้นร่วมกันทำแนวกันไฟต่อ ๆ กันมาแต่ละหมุ่บ้าน แนวกันไฟยาวถึง 116 กิโลเมตร ก็ยังมีการแอบเผ่าอยู่
ชาวบ้านแม่ลานคำ จึงได้ใช้เป็นแนวความเชื่อต่อการป้องกันไฟป่า โดยประกอบพิธีหลื่อเหม่โต(เลี้ยงแนวกันไฟ) แนวเขตชุมชนหมู่ที่ 6 ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มายานานกว่า 30 ปี ในระยะความยาวของแนวกันไฟ 45 กิโลเมตร จากนั้นมีไฟไหม้ป่าในเขตหมู่บ้านลดลงอย่างชัดเจน ถือเป็นการนำวัฒนธรรมชุมชน มาแก้ปัญหาชุมชนที่ได้ผลวิธีหนึ่ง
การทำแนวกันไฟ มีผู้เข้าร่วมเป็นชาวบ้านแม่ลานคำทั้ง 5 หย่อมบ้าน และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ถือโอกาสมาร่วมรับรู้ และให้ขวัญกำลังใจ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผ่านเวทีล้อมวงพูดคุบกันในป่า เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันร่วมกันอย่างสะนุกสนาน เป้นกิจกรรมที่สร้างความรักความสามัคคีให้กับคนในชุมชน เป็นอย่างดี และทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพมีความอุดมสมบูรณ์ ส่งที่ดีต่อชุมชน อำเภอ ชาติ และโลก
ภูมิปัญญาลีซู:การเดินทางผ่านผืนป่าและพิธีกรรมแห่งขุนเขา
ในโลกที่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ภูมิปัญญาและความเชื่อของชนเผ่าลีซูแห่งลุ่มน้ำแม่จันเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่เผยถึงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชนเผ่าลีซูเท่านั้น แต่ยังนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่คนทั่วโลกอาจได้รับประโยชน์ในการอนุรักษ์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติ
ชาวลีซูเชื่อว่า “ป่า” หมายถึงพืชพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่มีเจ้าของ โดยมีเทพเจ้าแห่งป่าที่เรียกว่า “อิ๊ด่ามา” เป็นผู้คุ้มครองต้นไม้ใหญ่ ภูมิปัญญานี้สะท้อนถึงความเคารพและการตระหนักถึงสิทธิของธรรมชาติด้วยความนอบน้อม การเข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้คนจะต้องขออนุญาตจากเทพเจ้าและปฏิบัติตามพิธีกรรมต่างๆที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งความเชื่อเช่นนี้ช่วยควบคุมการใช้ทรัพยากรอย่างมีสำนึกและปกป้องป่าให้คงอยู่
การจัดประเภทและการใช้ประโยชน์จากป่า
ชนเผ่าลีซูสามารถจัดแบ่งประเภทป่าได้หลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละประเภทของป่ามีลักษณะเฉพาะและบทบาทในการดำเนินชีวิตของชุมชน เช่น ป่าเขตเย็นที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์เป็นต้นกำเนิดของน้ำและพืชพรรณหลากหลาย ป่ากึ่งร้อนกึ่งเย็นที่เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการตั้งชุมชนและทำเกษตรกรรม ไปจนถึงป่าในเขตร้อนที่เหมาะสำหรับการทำเกษตรเชิงพาณิชย์และเก็บไม้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ในด้านการใช้ประโยชน์ ชาวลีซูได้จำแนกป่าตามความสามารถในการรับแสงอาทิตย์ และความชื้นในแต่ละพื้นที่ ป่าที่ได้รับแสงอาทิตย์มากจะเหมาะสำหรับการปลูกพืชผักผลไม้ ส่วนป่าที่มีแสงอาทิตย์น้อยจะมีความชื้นสูงและอุดมไปด้วยพืชพรรณหลากหลาย รวมถึงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ความรู้เรื่องการเลือกใช้ประโยชน์จากป่าตามสภาพแวดล้อมนี้ทำให้ชาวลีซูสามารถรักษาสมดุลในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
พิธีกรรมและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการดูแลป่า
พิธีกรรมที่สำคัญที่สุดของชาวลีซูคือ “อิ๊ด่ามาหลั๊วะ” ซึ่งเป็นพิธีคืนผืนป่าให้กับเทพเจ้า เป็นการขอบคุณและแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ ซึ่งในทุกๆ ปี ชาวลีซูจะทำพิธีนี้เพื่อขอพรให้ป่าคงความอุดมสมบูรณ์ และเพื่อให้ชุมชนได้รับผลดีจากทรัพยากรในป่าต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาระเบียบวินัยในการใช้ป่า ห้ามล่าสัตว์หรือทำลายต้นไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเทพเจ้า ความเชื่อเช่นนี้สะท้อนถึงแนวคิดการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ยังคงมีชีวิตในสังคมชนเผ่าลีซู
ผสมผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมกับวิทยาการสมัยใหม่
แม้ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวลีซูจะได้รับการสืบทอดมายาวนาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธวิทยาการสมัยใหม่ ในปัจจุบันชาวลีซูในบ้านปางสา จังหวัดเชียงราย ได้นำเทคโนโลยี เช่น แผนที่ดาวเทียมและ GPS มาช่วยในการวางแผนจัดการทรัพยากรป่าไม้ ทำให้เกิดความแม่นยำและประสิทธิภาพในการดูแลรักษาพื้นที่ป่า นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมกับความรู้สมัยใหม่ ซึ่งสามารถสร้างความยั่งยืนและพัฒนาการจัดการทรัพยากรได้อย่างลงตัว
ในชุมชนลีซูที่บ้านปางสา บทบาทในการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการดูแลป่าส่วนใหญ่เป็นของผู้ชายและผู้อาวุโส ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่สำคัญในการเตรียมของเพื่อนำไปประกอบพิธี แต่ในยุคสมัยใหม่ที่ความเข้าใจและความร่วมมือในการอนุรักษ์ป่ากลายเป็นเรื่องสำคัญ บทบาทของผู้หญิงและเด็กก็เริ่มได้รับการส่งเสริมมากขึ้น การปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการและการสร้างความร่วมมือในชุมชนกลายเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลป่าอย่างยั่งยืน
เรื่องราวของชนเผ่าลีซูกับการจัดการทรัพยากรป่าไม่เพียงเป็นตัวอย่างของภูมิปัญญาที่สมควรได้รับการยอมรับในระดับโลก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในสังคมสมัยใหม่ได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนและเคารพในสิ่งที่ธรรมชาติได้มอบให้
"มรดกแห่งผืนป่า: ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกับธรรมชาติของผู้หญิงมานิ"
ชนพื้นเมืองดั้งเดิม (indigenous people) [1] เป็นผู้ดูแลรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของโลก พวกเขามีความรู้และประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกกำลังต้องการอย่างยิ่งในยุคที่เผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ปัจจุบันคนกลุ่มนี้กำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายร่วมสมัยที่สำคัญอย่างน้อยสามเรื่อง ได้แก่ หนึ่ง วัฒนธรรมและภาษากำลังเสี่ยงต่อการสูญหาย สอง ระบบอาหารดั้งเดิมของชนพื้นเมืองกำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และ สาม การเข้าไม่ถึงโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน การศึกษา สถานะทางทะเบียนและสิทธิในที่ดินทำกิน
สตรีชนพื้นเมืองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในในการอนุรักษ์และถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นพวกเธอเป็นผู้รักษาภาษา วัฒนธรรม และความรู้ดั้งเดิมของชุมชน ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สตรีชนพื้นเมืองยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการนำความรู้แบบดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้ที่ตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการจัดการระบบอาหาร พวกเขามีความรู้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ การเรียนรู้จากระบบอาหารของชนพื้นเมืองจะช่วยให้เราสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนได้
ผู้หญิงมานิ ผู้ถือกำเนิดในป่าเขาบรรทัดทางภาคใต้ของไทย การจัดการระบบอาหารของผู้หญิงมานิจัดเป็นแบบอย่างของการอยู่รอดด้วยการอาศัยปัจจัยพื้นฐานจากระบบนิเวศและภูมิปัญญาในการเก็บหาของป่าและสัตว์ป่าเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวัน พืชป่ามากกว่า 100 ชนิดที่ผู้หญิงมานินำมาปรุงอาหารและสมุนไพรบำรุงร่างกายและรักษาโรค สะท้อนถึงความหลากหลายของพันธุกรรมพืชในป่าเทือกเขาบรรทัด
ชนิดและพันธุ์พืชแบ่งตามการใช้ประโยชน์ของผู้หญิงมานิมีอย่างน้อย 6 ด้าน ได้แก่ พืชอาหาร 42 ชนิด พืชที่อยู่อาศัย 17 ชนิด พืชสมุนไพร 45 ชนิด พืชเครื่องนุ่งห่ม 1 ชนิด พืชเครื่องใช้ไม้สอย 18 ชนิด และพืชความเชื่อ 4 ชนิด โดยมีมันป่าชนิดต่างๆ ถึง 9 ชนิด ที่ผู้หญิงมานิทุกคนต้องรู้จัก และนิยมนำมาใช้เป็นอาหารโดยการเผาไฟหรือหมกไฟ ได้แก่ มันทราย มันโสม มันย่านเขียว มันเหยง มันตามราก มันหมู มันเหลี้ยม มันฝาง และมันสอ นอกจากนี้ยังมีพืชอื่นๆ ที่หาได้ตามฤดูกาล ได้แก่ หน่อไม้ ผักดด ต้นอ่อนและหัวปลีกล้วยป่า ยอดอ่อนหรือหัวเต่าร้าง และผักกาดกบ
การเข้าป่าหาพืชอาหารของผู้หญิงมานินั้นจะไปช่วงเช้าและกลับมายังทับหรือที่พักในช่วงเที่ยงหรือบ่าย และพวกเธอจะขุดหาหัวมันเป็นหลัก โดยนำมาออกมาจากป่าในปริมาณที่เพียงพอสำหรับแต่ละมื้ออาหารของวันและแบ่งปันให้ทุกครอบครัวในกลุ่มครอบครัวที่อยู่ด่วยกัน นอกจากนั้นยังมีการจัดแบ่งหน้าที่กันออกไปหามันป่าในแต่ละวัน การแบ่งปันอาหารจึงเป็นจุดเด่นของวิถีชาวมานิที่เห็นคุณค่าของความหลากหลายของพืชและความเป็นมนุษย์ที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน ผู้หญิงมานิจึงมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์
การสนับสนุนการใช้องค์ความรู้ของชนพื้นเมืองในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะองค์ความรู้ของผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมือง และเพื่อให้ผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมืองมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง “การให้ความเคารพต่อภูมิปัญญา วัฒนธรรม และการปฏิบัติตามประเพณีของผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมือง จะนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม รวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม”
คำสำคัญ: "ชนเผ่าพื้นเมือง", "ผู้หญิงมานิ", "ภูมิปัญญา", "อนุรักษ์ธรรมชาติ", “ความหลากหลายทางชีวภาพ”
“คน พึ่ง ป่า สัตว์ป่า พึ่ง คน เราต่างพึ่งพากันและกัน”
สู่แนวคิดการทำไร่เมตตาชุมชนแม่จอก
ชนพื้นเมืองดั้งเดิม (indigenous people) [1] เป็นผู้ดูแลรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของโลก พวกเขามีความรู้และประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกกำลังต้องการอย่างยิ่งในยุคที่เผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ปัจจุบันคนกลุ่มนี้กำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายร่วมสมัยที่สำคัญอย่างน้อยสามเรื่อง ได้แก่ หนึ่ง วัฒนธรรมและภาษากำลังเสี่ยงต่อการสูญหาย สอง ระบบอาหารดั้งเดิมของชนพื้นเมืองกำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และ สาม การเข้าไม่ถึงโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน การศึกษา สถานะทางทะเบียนและสิทธิในที่ดินทำกิน
สตรีชนพื้นเมืองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในในการอนุรักษ์และถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น พวกเธอเป็นผู้รักษาภาษา วัฒนธรรม และความรู้ดั้งเดิมของชุมชน ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สตรีชนพื้นเมืองยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการนำความรู้แบบดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้ที่ตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการจัดการระบบอาหาร พวกเขามีความรู้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ การเรียนรู้จากระบบอาหารของชนพื้นเมืองจะช่วยให้เราสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนได้
ผู้หญิงมานิ ผู้ถือกำเนิดในป่าเขาบรรทัดทางภาคใต้ของไทย การจัดการระบบอาหารของผู้หญิงมานิจัดเป็นแบบอย่างของการอยู่รอดด้วยการอาศัยปัจจัยพื้นฐานจากระบบนิเวศและภูมิปัญญาในการเก็บหาของป่าและสัตว์ป่าเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวัน พืชป่ามากกว่า 100 ชนิดที่ผู้หญิงมานินำมาปรุงอาหารและสมุนไพรบำรุงร่างกายและรักษาโรค สะท้อนถึงความหลากหลายของพันธุกรรมพืชในป่าเทือกเขาบรรทัด
ชนิดและพันธุ์พืชแบ่งตามการใช้ประโยชน์ของผู้หญิงมานิมีอย่างน้อย 6 ด้าน ได้แก่ พืชอาหาร 42 ชนิด พืชที่อยู่อาศัย 17 ชนิด พืชสมุนไพร 45 ชนิด พืชเครื่องนุ่งห่ม 1 ชนิด พืชเครื่องใช้ไม้สอย 18 ชนิด และพืชความเชื่อ 4 ชนิด โดยมีมันป่าชนิดต่างๆ ถึง 9 ชนิด ที่ผู้หญิงมานิทุกคนต้องรู้จัก และนิยมนำมาใช้เป็นอาหารโดยการเผาไฟหรือหมกไฟ ได้แก่ มันทราย มันโสม มันย่านเขียว มันเหยง มันตามราก มันหมู มันเหลี้ยม มันฝาง และมันสอ นอกจากนี้ยังมีพืชอื่นๆ ที่หาได้ตามฤดูกาล ได้แก่ หน่อไม้ ผักดด ต้นอ่อนและหัวปลีกล้วยป่า ยอดอ่อนหรือหัวเต่าร้าง และผักกาดกบ
การเข้าป่าหาพืชอาหารของผู้หญิงมานินั้นจะไปช่วงเช้าและกลับมายังทับหรือที่พักในช่วงเที่ยงหรือบ่าย และพวกเธอจะขุดหาหัวมันเป็นหลัก โดยนำมาออกมาจากป่าในปริมาณที่เพียงพอสำหรับแต่ละมื้ออาหารของวันและแบ่งปันให้ทุกครอบครัวในกลุ่มครอบครัวที่อยู่ด่วยกัน นอกจากนั้นยังมีการจัดแบ่งหน้าที่กันออกไปหามันป่าในแต่ละวัน การแบ่งปันอาหารจึงเป็นจุดเด่นของวิถีชาวมานิที่เห็นคุณค่าของความหลากหลายของพืชและความเป็นมนุษย์ที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน ผู้หญิงมานิจึงมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์
การสนับสนุนการใช้องค์ความรู้ของชนพื้นเมืองในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะองค์ความรู้ของผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมือง และเพื่อให้ผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมืองมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง “การให้ความเคารพต่อภูมิปัญญา วัฒนธรรม และการปฏิบัติตามประเพณีของผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมือง จะนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม รวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม”
คำสำคัญ: "ชนเผ่าพื้นเมือง", "ผู้หญิงมานิ", "ภูมิปัญญา", "อนุรักษ์ธรรมชาติ", “ความหลากหลายทางชีวภาพ”
“ไร่เมตตา คือไร่แห่งการเกื้อกูล แบ่งปัน ซึ่งกันและกัน ของคนกับสัตว์ป่า ให้มีพื้นที่แหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัย และพื้นที่ปลอดภัยในการขยายพันธุ์ให้กับสัตว์ป่าในพื้นที่ป่าของบ้านแม่จอก ซึ่งมาจากการรวมตัวของคนในชุมชนมาทำไร่เมตตาที่มีความคล้ายคลึงกับไร่หมุนเวียน ชาวบ้านมีการรวมเอาเมล็ดพันธุ์ของชุมชน มากกว่า 10 ชนิด มาหว่านและปลูกลงไปในไร่เมตตาแห่งนี้.ให้สัตว์ป่าได้กิน”
บ้านแม่จอก ภาษาปกาเกอะญอ เรียกว่า “แม่จอกคี” ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นชุมชนล้อมรอบไปด้วย ทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ มีความอุดมสมบูรณ์ และมีสัตว์ป่าอยู่อาศัยในพื้นที่หลากหลาย ผืนป่าแห่งนี้มีการดูแลจัดการทรัพยากรธรรมชาติด้วยชุมชนเอง โดยใช้องค์ความรู้ ความเชื่อ ของชุมชนในการบริหารจัดการทำให้ผืนป่าแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาอย่างยาวนาน ชุมชนมีแนวคิดในการเกื้อกูล แบ่งปัน อาหารที่สมบูรณ์ให้กับสัตว์ป่า ซึ่งแนวคิดนี้ชุมชนได้มีการทำอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การทำไร่เมตตาได้หายลงไป จนปัจจุบันชุมชนได้มีการกลับมาฟื้นฟูไร่เมตตา คือไร่แห่งการเกื้อกูล แบ่งปัน ซึ่งกันและกัน ของคนกับสัตว์ป่า
ไร่เมตตาแห่งนี้ได้มีการกลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง ได้รับความร่วมมือจากชุมชนตั้งแต่การฟันไร่ การเผาไร่ การเคลียร์พื้นที่ในไร่ ตลอดจนการปลูก มีการวบรวมเมล็ดพันธุ์ของชุมชนที่มีอยู่มากกว่า 10 ชนิด อาทิเช่น ข้าว เผือก มัน บวก ข้าวโพด แตงกวา ฝักทอง ถั่วฝักยาว มันอาลู มันสันปะหลัง ถั่วลิสง กล้วย และอื่นๆ ฯลฯ เพื่อหลอกล่อให้สัตว์ป่านั้นได้มีการเข้ามากินอาหารที่ชุมชนได้ปลูกไว้โดยไม่ออกไปหากินในไร่หมุนเวียนของชาวบ้านที่ปลูกไว้ รวมถึงเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยกับสัตว์ป่าเหล่านี้ ซึ่งพื้นที่ทำไร่เมตตาแห่งนี้ชุมชนได้มีการอนุรักษ์และทำพิธีบวชพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อไม่ให้มีคนเข้ามาล่าสัตว์ในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากการถูกล่าแล้วยังเป็นพื้นที่ที่สามารถขยายพันธุ์ของสัตว์ป่าให้มีความหลากหลายด้วย
ซึ่งการสร้างการพึ่งพาอาศัย เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน ระหว่างทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่าและมนุษย์ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ จะแยกออกจากกันไม่ได้ ชุมชนได้ยึดถือแนวคำสอนของบรรพบุรุษที่ว่า “เอาะที เก่อตอที เอาะก่อ เก่อตอก่อ เอาะเดะ เก่อตอเล เอาะหย่า เก่อตอกวิ๊” ซึ่งหมายความว่า “กินน้ำ ให้รักษาน้ำ กินป่า ให้รักษาป่า กินเขียด ให้รักษาผา กินปลา ให้รักษาลำห้วย” ซึ่งชุมชนแม่จอกแห่งได้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าจึงต้องมีการสร้างความเกื้อกูล และแบ่งปันซึ่งกันและกันให้ชุมชนได้มีทรัพยากรดิน น้ำ ป่า ที่อุดมสมบูรณ์อยู่คู่ชุมชนอย่างยาวนาน
เขียนโดย: พิมลพรรณ์ ฌานประทีปส่อง
"เดปอถู่"จิตวิญญาณที่คงอยู่
ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่มีภูมินิเวศอยู่แทบทุกจังหวัดของประเทศไทย นับว่าเป็นชาติพันธุ์มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาในการจัดการป่า มีวิถีชีวิตที่สอดคล้องเอื้อต่อป่าการใช้ทรัพยากรป่า ซึ่งปรากฏให้เห็นในบทลำนำ บทเพลง พิธีกรรมต่างๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงนำความเชื่อและวิถีปฎิบัติการบางพิธี นำมาเสนอนั่นคือพิธีกรรม ”เดปอถู่” เป็นป่าทางความเชื่อที่ชาวกะเหรี่ยงถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านาน
ปาเก่อญอเราเชื่อว่า ท้องฟ้ามีผู้พิทักษ์ แม่น้ำมีผู้ดูแล ภูเขาไม้ใหญ่มีผู้รักษา ทุกที่มีผู้เป็นเจ้าดูแลรักษาที่นั้น เราเชื่อว่าเมื่อเราใช้ประโยชน์ เราต้องให้เกียรติและดูแลให้มันเพิ่มพูนให้ยั่งยืนต่อไป บางครั้งเรามีความกลัว ภูเขาใหญ่เราจะไม่ตัดไม้ถางป่า เรามีสถานที่ในการเพราะปลูกที่แบ่งบางส่วน สิ่งที่เป็นผู้พิทักษ์ป่าต้นไม้ให้คงอยู่ยั่งยืน เรียกว่า เดปอทู เป็นสายรกจากการเกิดของมนุษย์ แล้วนำสายรกนั้นไปไว้บนต้นไม้ ต้นไม้ต้นนั้นเราจะไม้ตัดตลอดชีวิตที่ผู้พิทักษ์ยังมีชีวิตอยู่
กล่าวคือ เมื่อเด็กแรกเกิดผู้เป็นพ่อจะนำรกหรือ”เด”บรรจุในกระบอกไม้ไผ่มัดปากกระบอกพันด้วยผ้า รุ่งเช้าผู้เป็นพ่อจะไปผูกติดกับต้นไม้ โดยจะคัดเลือกต้นไม้สมบูรณ์และมีความแข็งแรง ต้นไม้นี้เรียกว่า “เดปอถู่” หลังจากที่ผู้เป็นพ่อนำกระบอกไม้ไผ่ผูกติดกับต้นไม้ได้ 7 วันแล้ว ก็จะกลับมาที่ต้นไม้นั้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเอากิ่งไม้หรือก้อนหินโยนไปที่กระบอกไม้ไผ่ เพื่อให้กระบอกไม้ไผ่นั้นร่วงลงมา แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้มือซ้ายโยนเท่านั้น และเชื่อว่าขวัญของเด็กผู้นั้นจะอยู่กับต้นไม้นั้นตลอดไป
“เดปอถู่” จะได้รับการดูแลคุ้มครองไม่ให้ผู้ใดตัดหรือโค่น หากต้นไม้ถูกตัดหรือโค่นลงเชื่อว่าขวัญของคนๆ นั้นจะไม่มีที่อยู่ จะทำให้เจ้าของ “เด” เจ็บไข้ได้ป่วย ผู้ที่ใดฝ่าฝืนไม่ว่าจงใจหรือไม่ก็ตามจะถูกปรับโทษด้วยการต้องไปขอขมาลาโทษเพราะถือว่าเป็นการหลบหลู่ไม่ให้เกียรติกับเจ้าของ “เด”
“เดปอถู่” ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การนำ “เด” ของเด็กมาผูกติดกับต้นไม้เท่านั้น แต่มีความเกี่ยวข้องถึงสภาพแวดล้อม การเคารพต่อสิ่งมีชีวิตต่อสิ่งรอบข้างและการนำ”เด” หรือ “รกเด็ก”ไปผูกกับต้นไม้เป็นประเพณีที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาใดๆ สำหรับปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีความเข้าใจ “เดปอถู่”น้อยลง เนื่องจากไม่มีการสืบทอด คนรุ่นใหม่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อคุณค่าของประเพณี วัฒนธรรมใหม่ๆได้หลั่งไหลเข้ามาแทนที่
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้มีหลายรูปแบบ ทั้งโดยกฎข้อบังคับและกฎหมาย ส่วนภูมิปัญญาของชาวกะเหรี่ยงในการจัดการป่าคือ คุณค่าวัฒนธรรมที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการเคารพต่อกัน ระหว่างคนกับคน คนกับจิตวิญญาณและคนกับสิ่งแวดล้อม จะเห็นได้ว่า เดปอทู่ คือจุดเริ่มต้นของคนกับป่าโดยแท้จริง พิธีกรรมเดปอทู่ นอกจากจะเป็นการอนุรักษ์ป่าโดยภูมิปัญญาของชนเผ่าแล้ว ยังเป็นการสร้างความรักความผูกพันของคนในครอบครัว ชุมชนและทำให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
เรื่องโดย:มูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์
ไร่หมุนเวียนละเวือะ: แหล่งภูมิปัญญาและความมั่นคงทางอาหาร
ละเวือะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมในประเทศไทย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน มีประชากรประมาณ 58,803 คน ปัจจุบันถึงแม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแต่ชุมชนละเวือะส่วนหนึ่งยังยึดปฏิบัติและดำเนินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของตนไว้ โดยเฉพาะการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนและการทำนา ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตของคนในชุมชน
ละอูบ เป็นชุมชนละเวือะ ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ย่วงรโอวก” ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๑, ๑๐๐ เมตร สภาพพื้นที่มีความลาดชัน และล้อมรอบด้วยป่าดิบเขา อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ยังคงการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ ภูมิปัญญา ที่ชุมชนปฏิบัติและสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว
ชาวละเวือะที่บ้านละอูบทำไร่หมุนเวียนในลักษณะแปลงรวม มีรอบในการหมุนเวียนประมาณ 9-11 ปี ในการทำไร่นั้นชาวละเวือะมีองค์ความรู้และวิธีการในการจัดการที่มีลักษณะเฉพาะเริ่มตั้งแต่การเลือกพื้นที่ การแบ่งพื้นที่ การถางไร่ การเผาไร่ การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวผลผลิต
การเลือกพื้นที่
หมู่บ้านละอูบมีพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนทั้งหมด 17 แปลง แต่ละแปลงมีขนาดไม่เท่ากัน บางแปลงมีพื้นที่ขนาดใหญ่ บางแปลงมีพื้นที่เล็ก ดังนั้นการเลือกพื้นที่ทำไร่ บางปีอาจต้องใช้สองแปลง ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก แต่ละแปลงจะเรียกตามชื่อลำห้วยและสันเขาตามภาษาของละเวือะ เช่น โกลงเญือง –โฆละโรจ, อาวมมัง และ ชตะมวย อาวมฆิน, โกลงโลก, โกลงงะ-โมชู- มอกฆรัมกล่าวง, โกลงลอย, ไมจลอง และ โกลงโคะ + เตะนะ, โกลงมอยจ-มอกฆรัมกเซฮ, เตะลโอ, เตะลโอกเซฮ และ โกลงเฆียก, โกลงฆรุก และ โกลงเซียง
ขั้นตอนในการเลือกพื้นที่ว่าจะใช้พื้นที่แปลงไหนในการเพาะปลูกในปีนั้น รวมทั้งการแบ่งพื้นที่เพาะปลูกให้กับสมาชิกแต่ละครอบครัวในชุมชนนั้น เริ่มจากการประชุมและหารือกันในชุมชนก่อน เรียกว่า “โปวกโคะย่วง” โดยผู้นำพิธีกรรมที่เรียกว่า “จาวโงว” ไปประกอบพิธีกรรมที่ไร่เหล่าที่คาดว่าจะใช้ทำไร่ในปีนั้น หลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว ผ่านไปหนึ่งคืน รุ่งขึ้นจะมีการทำนายฝัน เช่น ถ้าฝันเห็นแม่น้ำใหญ่ หรือสิ่งที่ดี ก็จะเลือกพื้นที่แปลงนั้นเป็นที่ทำไร่หมุนเวียนของชุมชนในปีนั้น เพราะเชื่อว่าถ้าทำไร่แล้วจะได้ผลผลิตดี แต่ถ้าหากฝันเห็นไฟ หรือพายุ เชื่อว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ดี ไม่เหมาะสำหรับการทำไร่หมุนเวียนในปีนั้น ข้าวที่ปลูกจะงอกงามไม่ดี สมาชิกในครอบครัวไม่สบาย ก็จะไม่เลือกพื้นที่แปลงนั้น ต้องเลือกพื้นที่แปลงใหม่
การรแบ่งพื้นที่ (โพรม รฆุ พริ)
การแบ่งพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกนั้นตระกูล “ย่วงมอยจ” จะได้สิทธิ์ในการเลือกพื้นที่ก่อนเพราะเป็นตระกูลผู้นำทางพิธีกรรมของหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็จะเป็นของตระกูลไตฮปลอง ลเมียง ย่วงเฮง และซมัง ถ้าครอบครัวไหนที่ไม่มีที่ทำกิน ให้ไปขอที่หัวหน้าของแต่ละสายตระกูล
พื้นที่ไร่นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของชุมชนแต่สิทธิในการใช้ประโยชน์นั้นจะมีการบ่งสรรปันส่วนไปให้กับแต่ละตระกูลตามกฎจารีตประเพณีตามที่ได้กล่าวแล้วมาข้างต้น โดยแต่ละตระกูลจะเอาไปกระจายแบ่งกันให้กับสมาชิกของตัวเอง เมื่อทุกคนรู้ว่าที่ของตัวเองอยู่ตรงไหน หลังจากนั้นไม่เกิน 2 วัน โดยจะเลือกเอาวันพฤหัสบดี เพราะถือว่าเป็นวันดีในการเริ่มงาน ชาวบ้านจะพากันไปถางไร่ ( กัน มอก ม่า) พร้อมกันทั้งหมู่บ้าน การถางไร่จะเริ่มเดือนกุมภาพันธ์ ประมาณวันที่ 13 เป็นต้นไป โดยวันแรกจะทำการฟันไร่ (กันเลียก พริ) ถางไร่ ในพื้นที่ของตัวเองเพียงเล็กน้อยก่อน การฟันไร่อย่างเป็นทางการจะทำในวันรุ่งขึ้นโดยจะฟันจนแล้วเสร็จ อาจใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยกันทั้งผู้ชายและผู้หญิง หลังจากนั้นก็จะปล่อยให้ต้นไม้แห้ง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เมื่อต้นไม้แห้งสนิทแล้วก็จะเป็นการเผาไร่ โดยจะเผาประมาณวันที่ 25 ถึง 30 มีนาคมของทุกปี
ก่อนการเผาไร่จะมีการทำแนวกันไฟ (ไปฮ) ก่อน ถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญมาก เป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านทำกันมาตั้งแต่อดีตเพื่อควบคุมไฟไม่ให้ลามออกไปนอกพื้นที่หรือเข้าไปในป่า โดยทุกครอบครัวจะมาช่วยกันทำแนวกันไฟรอบพื้นที่ไร่ ซึ่งจะทำก่อนที่จะเผาไร่ประมาณ 3 วัน บางปีอาจจะทำแนวกันไฟก่อนแค่ 1 วันก็ได้ เพราะถ้าทำก่อนหลายวัน อาจจะมีใบไม้ร่วงทับถมในพื้นที่แนวกันไฟ อาจทำให้ไฟลุกลามได้
การเผาไร่ (โตก) จะมีการทำพิธีเลี้ยงผีแนวกันไฟ “โนกไปฮ” ก่อน โดยจะทำพิธีช่วงเช้า วันเดียวกันกับวันที่จะเผาไร่ โดยใช้ไก่ 7 ตัว เพราะมีความเชื่อว่า เจ้าที่เจ้าป่าจะช่วยปกป้องไม่ให้ไฟไหม้ลุกลามออกไปพื้นที่อื่น การเผาไร่จะทำช่วงบ่ายเวลาประมาณ 13.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่แดดร้อนจัดมาก
หลังจากเผาไร่แล้ว ก็จะกำจัดเศษไม้ (บราวม) ที่ไหม้ไม่หมดในไร่ โดยนำไปกองไว้เป็นที่ จากนั้นจะมีการสร้างกระท่อมสำหรับพัก และทยอยหว่านเมล็ดผักต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ เช่น มัน เผือก บวบ แตงกวา หรืออื่นๆ หลายชนิด บางชนิดจะผสมไว้กับเมล็ดข้าว เช่น งา งาดำ งาขาว แตงกวา ดอกดาวเรือง ผักกาด ผักอีหลึง ( ฮลืาง) หรือพืชที่มีเมล็ดเล็กๆ ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน (ต้นเดือน) ไม่เกินวันที่ 10 ก่อนที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป การปลูกข้าวในไร่หมุนเวียน (โม่) ส่วนใหญ่จะเริ่มช่วงระยะเวลาประมาณวันที่ 10-20 เมษายนของทุกปี เป็นกิจกรรมที่สำคัญแต่ละครอบครัวจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการปลูกข้าวจะใช้วิธีการช่วยเหลือกัน ในลักษณะการแลกเปลี่ยนแรงงาน หรือการเอามื้อเอาแรงกัน ผู้ชายจะทำหน้าที่ขุดด้วยเสียมเพื่อให้มีหลุมสำหรับหยอดเมล็ดข้าว ผู้หญิงจะเดินตามและหยอดเมล็ดข้าว ผู้สูงอายุหรือเจ้าของบ้านจะเตรียมและทำอาหารเลี้ยงคนที่มาช่วยงานในวันนั้น เด็กๆ จะช่วยกันไปตักน้ำ การปลูกข้าวจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์
เมื่อต้นข้าวเริ่มเติบโต หญ้าก็เติบโตตามไปด้วย ก็ต้องมีการดายหญ้า (แรม) โดยเฉลี่ยนจะทำปีละ 3 ครั้ง ครั้งแรก (แรมไรปฆู) ทำในช่วงต้นเดือนมิถุนายนของทุกปี ครั้งที่ 2 (แรมไรปแม ) ทำในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นข้าวกำลังเจริญเติบโต ครั้งที่ 3 (แรมไรป ลอย ) ทำในช่วงเดือนกันยายน เป็นช่วงที่ข้าวกำลังออกรวง การกำจัดหญ้าครั้งที่ 3 นี้จะทำให้เกี่ยวข้าวได้ง่ายขึ้น การดายหญ้าแต่ละครั้งนั้น ครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 จะทำละเอียดกว่าครั้งที่ 3 การเกี่ยวหญ้าหรือถอนหญ้าแต่ละครั้งนั้นส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเพราะว่าเป็นงานที่ละเอียดอ่อน
หลังจากนั้นก็จะเป็นการเกี่ยวข้าว (มัก) ซึ่งจะเริ่มในช่วงกลางเดือนตุลาคมของทุกปี วันแรกของการเกี่ยวนั้น ส่วนมากจะเลือกเอาวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันดีตามความเชื่อของชาวละเวือะ ในวันนั้น ทุกครอบครัวจะมีการเรียกวิญญาณข้าวให้กลับมา “ไบญเฮงาะ” แล้วทิ้งไว้ หนึ่งวันแล้วก็ไป “ฮนัมเฮงาะ” (สำหรับผู้ที่นับถือดั้งเดิม) ขั้นตอนสุดท้ายคือ การนวดข้าว (ปุฮเฮงาะ) และเก็บข้าวเข้ายุ้ง การนวดข้าว จะมีการทำพิธีฟาดข้าว (เฟียดเฮงาะ) ในครอบครัวก่อน โดยบุคคลแรกที่ตีข้าว จะหันหน้าไปทางต้นน้ำ เมื่อเสร็จแล้วจะนำข้าวไปเก็บที่บ้านหรือยุ้งฉางของตน เสร็จแล้วจะมีการทำพิธีในระดับชุมชน เรียกว่า จัฮ เป็นการแจ้งให้ทราบว่าการใช้ที่ดินแปลงนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ทุกคนยังสามารถไปเก็บหาพืชผักที่เหลือในไร่ได้
การเก็บเมล็ดพันธุ์
การเก็บเมล็ดพันธุ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญอันหนึ่ง เพราะจะได้มีเมล็ดสำหรับปลูกในปีถัดไป ในการคัดเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์นั้น ชาวบ้านมีวิธีการเก็บดังนี้
- เลือกผลหรือเมล็ดที่สมบูรณ์
- รอจนแก่แล้วค่อยเก็บ จากนั้นเอาผ้าห่อไว้
- เก็บบนเตาไฟ เพื่อไม่ให้มอดกิน
จะเห็นว่าการทำไร่หมุนเวียนของละเวือะนั้นมีหลายขั้นตอน ซึ่งเกี่ยวข้ององค์ความรู้ในการปฏิบัติ การจัดการ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นการให้ความเคารพต่อเจ้าที่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพและยำเกรง นอกจากนี้ผลผลผลิตที่ได้จากไร่ข้าว จะเห็นว่ามีพันธุ์พืชหลากหลายชนิด ที่ชาวบ้านนำมาใช้รับประทาน ทำเป็นยา ทำเป็นเครื่องประดับ ตลอดช่วงฤดูกาลเพาะปลูก โดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดจากภายนอก ซึ่งถือเป็นความยั่งยืนและความมั่นคงทางด้านอาหารของคนในชุมชน
วิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ริเริ่มการอนุรักษ์อย่างครอบคลุมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
บทความนี้กล่าวถึงวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแม่แจ่มและผืนป่าแม่แจ่มพวกเขาใช้ระบบไร่หมุนเวียนเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชเศรษฐกิจหลัก
บทความนี้ยังอธิบายถึงปัญหาการเผาป่าเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งส่งผลต่อปัญหาหมอกควันพิษและเสนอแนวทางในการสนับสนุนและส่งเสริมให้พวกเขาปรับเปลี่ยนการผลิตมาเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินบนผืนป่าอย่างยั่งยืนผ่านการปลูกพืชผลทางการเกษตรชนิดอื่นทดแทนหรือร่วมกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อสร้างรายได้ที่หลากหลายโดยใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมของพวกเขาคือระบบไร่หมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบการผลิตของพวกเขาและนำมาสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแม่แจ่มที่มีการแบ่งตัวเป็นชั้นสลับซับซ้อนของทิวเขาถนนธงชัยตอนกลาง ความสูงตั้งแต่ 600 เมตร จนถึง 1400 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เกิดเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำแม่แจ่ม บ้านของชนเผ่าพื้นเมืองปกากะญอหรือกะเหรี่ยง
ลำน้ำแม่แจ่มเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำปิงหนึ่งในสี่ของลำน้ำที่หล่อเลี้ยงลำน้ำเจ้าพระยา ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทย ลำน้ำแม่แจ่มมีต้นกำเนิดอยู่บริเวณดอยกิ่วปลากั้งที่เป็นแนวเขาแบ่งเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนกับจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผืนป่าบริเวณเหนือบ้านโป่งขาวกับบ้านหนองแดงของอำเภอกัลยานิวัฒนาเป็นพื้นที่ให้น้ำของลำห้วยน้อยใหญ่ไหลมารวมกันเป็นห้วยโป่งขาย ห้วยหนองแดง และห้วยแม่แจ่มน้อย และเป็นลำน้ำแม่แจ่มไหลลงไปทางทิศใต้ผ่านอำเภอแม่แจ่มไปบรรจบกับลำน้ำปิงที่อำเภอฮอดบริเวณบ้านสบแจ่ม มีความยาวโดยประมาณ 170 กิโลเมตร
ตลอดพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แจ่มคือบ้านของชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอกว่า 140 หมู่บ้าน พวกเขาใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยระบบไร่หมุนเวียนเพื่อเลี้ยงชีพ และปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นรายได้หลักในแต่ละปี การปรับตัวของคนในแต่ละภูมิสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอด หมู่บ้านแม่เอาะจึงเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตที่มีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของคนในหมู่บ้านรุ่นต่อรุ่น ตลอดลำน้ำแม่เอาะที่อยู่ทางตะวันออกของลำน้ำแม่แจ่ม เป็นพื้นที่ให้น้ำของลำน้ำแม่แจ่ม ด้วยผืนป่าเต็งรังผสมสนเขามีหย่อมบ้านแม่เอาะ 3 หย่อมบ้านซ่อนตัวอยู่กับหุบห้วยที่ยากจะค้นพบหากไม่เดินทางเข้าไปสัมผัสพวกเขาอย่างตั้งใจ ในยุคสมัยของการพัฒนาใครจะคิดว่าพื้นที่นี้จะปราศจากไฟฟ้าและน้ำประปาที่ได้รับการจัดการโดยรัฐท้องถิ่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชเศรษฐกิจของคนในหมู่บ้านที่เปรียบเสมือนสายสัมพันธ์เชื่อมโยงพวกเขากับสังคมภายนอก
การกล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นผู้ทำลายทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมจากปัญหาหมอกควันพิษ ถือเป็นการตัดสินโดยไม่แยกแยะว่าพื้นที่ไหนมีความจำเป็นและภายใต้ความจำเป็นเหล่านั้นพวกเขาพยายามที่จะปรับตัวเพื่อให้คำกล่าวโทษนั้นเบาบางที่สุดสำหรับเขา หากเราไม่ให้พวกเขาอยู่ในพื้นที่ตรงนี้และดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แล้ว เราจะมีอะไรไปแลกเปลี่ยนพวกเขาหรือ? การที่เราจะให้เขามาอยู่อาศัยในที่ดินจัดสรรเหมือนคนเมืองทั่วไป พวกเขาคงตรอมใจตายจากความไม่คุ้นเคย แต่ถ้าที่ทางเลือกที่เราคิดว่าดีสิ่งนั้นมันดีสำหรับเขาหรือเปล่า? มันเป็นสิ่งที่อธิบายด้วยบริบทที่แตกต่างกันไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าใจเขาแล้วเราอธิบายพื้นที่ที่เขาจัดการด้วยแนวคิดภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม จะทำให้เราเข้าใจวิถีของเขามากกว่าไหม
เพียงเราสนับสนุนพวกเขาเหล่านั้นให้มีรายได้ที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพและอนาคตบุตรหลานที่เป็นความหวังของพวกเขา “ปริญญา” เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากให้ลูกหลานได้มัน และพวกเขายอมเหนื่อยกายทุ่มเททำไร่ข้าวโพดเพื่อส่งเสียลูกหลานของตนให้ได้ใบปริญญาติดผนังบ้าน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันจากเราคนเมืองที่ต้องการ
ด้วยลุ่มน้ำและผืนป่าแม่แจ่มที่เป็นทั้งถิ่นกำเนิดและวิถีชีวิตของพวกเขา เราจึงมีหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมให้พวกเขาปรับเปลี่ยนการผลิตจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินบนผืนป่าอย่างยั่งยืน ผ่านการปลูกพืชผลทางการเกษตรชนิดอื่นทดแทนหรือร่วมกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อสร้างรายได้ที่หลากหลาย แม้จะเป็นโจทย์ที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหากเราเข้าใจวิถีชีวิตของพวกเขาและยอมรับว่ารายได้ก็เป็นปัจจัยหลักที่พวกเขาต้องพึ่งพา การริเริ่มใช้วิถีการผลิตตามแนวคิดของระบบไร่หมุนเวียนซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบการผลิตของพวกเขาและนำมาสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
มานิ: ผู้พิทักษ์ผืนป่า สืบสานภูมิปัญญาบรรพบุรุษ ผูกพันธรรมชาติ รักษาวิถีชีวิตด้วย ICI
จากเทือกเขาบรรทัด สู่การรณรงค์อนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม
ณ ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ของเทือกเขาบรรทัดและสันกาลาคีรีดินแดนที่ทอดยาวผ่าน 4 จังหวัดภาคใต้ของไทย เชื่อมต่อชายฝั่งทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นั่นคือถิ่นกำเนิดของ "มานิ" กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิม ผู้สืบทอดภูมิปัญญาและวิถีชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติมายาวนานกว่าพันปี เสียงเรียกร้องจากใจกลางป่าดังก้องกังวานสะท้อนถึงความสำคัญของการอนุรักษ์อย่างครอบคลุมที่ริเริ่มโดย "มานิ"
มานิ ผู้สืบทอดภูมิปัญญาและวิถีชีวิตที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ เข้าใจถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม พวกเขารู้จักพึ่งพาอาศัยป่าดิบชื้น แหล่งอาหารและที่พักพิงอันอุดมสมบูรณ์ โดยไม่ทำลายสมดุลของธรรมชาติ
มานิ: ผู้ผูกพันกับผืนป่า
ชีวิตของมานิ ผูกพันกับผืนป่าอย่างแยกไม่ออก ป่าคือแหล่งอาหาร ยารักษาโรค วัสดุก่อสร้าง และวิถีชีวิตอันเรียบง่าย มานิเคารพธรรมชาติ รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ไม่เบียดเบียนสัตว์ป่า เข้าใจความสมดุลของระบบนิเวศ
การอนุรักษ์อย่างครอบคลุมที่ริเริ่มโดย มานิ จึงไม่ใช่แค่การปกป้องผืนป่า แต่เป็นการปกป้องวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
ป่าดิบชื้น: บ้านและแหล่งอาหาร: มานิ อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้น หาอาหารจากธรรมชาติ เก็บผักผลไม้ ล่าสัตว์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต การสูญเสียป่าดิบชื้น หมายถึงการสูญเสียบ้านและแหล่งอาหาร
วัฒนธรรมและภูมิปัญญา: มานิ มีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับป่า การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ล้วนเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์
ความสมดุลของธรรมชาติ: มานิ เข้าใจดีว่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความมั่นคงของพวกเขา
ภูมิปัญญาบรรพบุรุษ: กุญแจสำคัญสู่การอนุรักษ์
มานิมีภูมิปัญญาที่สั่งสมผ่านรุ่นต่อรุ่น เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในป่า การอ่านสัญญาณธรรมชาติ การอยู่ร่วมกับสัตว์ป่า การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากป่าอย่างยั่งยืน ภูมิปัญญาเหล่านี้ เป็นกุญแจสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่า
วิถีชีวิตประจำวันของมานิ ไม่ได้นิ่งเฉยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม การเสริมพลังให้มานิริเริ่มโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่ออนุรักษ์ผืนป่าและวิถีชีวิตของพวกเขา มานิจึงไม่ใช่ผู้มาเยือน แต่เป็นผู้พิทักษ์ผืนป่าและภูเขาที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเข้าใจความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ภูมิปัญญาที่สั่งสมผ่านกาลเวลา กลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้พวกเขาริเริ่มการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม
ภัยคุกคามต่อผืนป่า
ปัจจุบัน ผืนป่าที่มานิอาศัยอยู่ เผชิญกับภัยคุกคามหลายประการ เช่น การบุกรุกป่า การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า มลพิษ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งเหล่านี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมานิ และระบบนิเวศโดยรวม
ทือกเขาบรรทัดเปรียบเสมือนหลังคาของบ้าน เป็นแหล่งต้นน้ำที่หล่อเลี้ยงผืนป่า เกษตรกรรม และชุมชน ภูเขาสูงยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด
การทำลายป่าไม้บนเทือกเขา ส่งผลต่อระบบนิเวศ น้ำท่วม ดินถล่ม และภัยแล้ง มานิ เข้าใจดีถึงความสำคัญของภูเขา การสูญเสียป่าไม้ จึงหมายถึงการสูญเสียบ้าน แหล่งอาหาร วัฒนธรรม และวิถีชีวิต มานิ ตระหนักดีถึงภัยคุกคามจากการบุกรุกป่า การทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติ และมลพิษ โครงการริเริ่มการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม จึงเกิดขึ้นเพื่อปกป้องบ้านอันล้ำค่านี้
มานิ: การริเริ่มอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม
ด้วยความตระหนักถึงภัยคุกคาม โครงการ ICI จึงต้องการเสริมพลังให้ มานิ เป็นผู้ริเริ่มโครงการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม ซึ่งมุ่งเน้นไปที่:
การฟื้นฟูป่า: มานิ ร่วมฟื้นฟูป่า ด้วยการทดแทนพื้นที่ที่ถูกทำลายและสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก
การปกป้องสัตว์ป่า: มานิ รณรงค์ให้หยุดการล่าสัตว์ป่า ดูแลรักษาสัตว์ป่า
การสืบสานภูมิปัญญา: มานิ ถ่ายทอดภูมิปัญญาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในป่า ให้กับรุ่นหลัง
การสร้างความตระหนักรู้: มานิ รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจความสำคัญของการอนุรักษ์
บทบาทของรัฐและภาคประชาชน
โครงการริเริ่มการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมานิเพียงฝ่ายเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
รัฐ: รัฐควรสนับสนุนและส่งเสริมให้มานิมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ภาคประชาสังคม: ภาคประชาสังคมควรสนับสนุนโครงการและกิจกรรมของมานิ
ประชาชน: ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนสินค้าและบริการจากมานิ
ตัวอย่างของการอนุรักษ์ที่ยั่งยืนของมานิ
การเสริมพลังให้มานิมีโอกาสในการแสดงให้เห็นว่า ชุมชนท้องถิ่น สามารถมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่าได้ โครงการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม เป็นตัวอย่างที่ดี ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนกับชนเผ่าพื้นเมืองมานิ
บทสรุป
มานิ คือผู้พิทักษ์ผืนป่า ภูมิปัญญาบรรพบุรุษของพวกเขา เป็นกุญแจสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่า โครงการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุมของมานิเป็นตัวอย่างที่ดี ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือ และความมุ่งมั่น ในการปกป้องผืนป่า เพื่ออนาคตของลูกหลาน และเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ธรรมชาติ: มารดาผู้ยิ่งใหญ่ กำลังถูกคุกคาม มนุษย์ต้องร่วมมือกันฟื้นฟูด้วย ICI
ธรรมชาติเปรียบเสมือนมารดาผู้ยิ่งใหญ่ หล่อเลี้ยงมนุษย์ด้วยอากาศบริสุทธิ์ น้ำใส อาหารอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งทรัพยากรอันล้ำค่า ป่าไม้สีเขียวดั่งปอดของโลก คอยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ปล่อยอากาศบริสุทธิ์ สายน้ำใสช่วยหล่อเลี้ยงชีวิต ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนพึ่งพาธรรมชาติ
ธรรมชาติยังเป็นดั่ง ครูผู้สอน สอนให้เรารู้จักความสมดุล รู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล ล้วนเป็นบทเพลงกล่อมเกลาจิตใจ ดวงดาวระยิบระยับ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ สร้างแรงบันดาลใจและปลุกเร้าจินตนาการ
แต่ทว่า มนุษย์กำลังทำลายธรรมชาติ
การพัฒนาของมนุษย์ แม้จะนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้า แต่กลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติอย่างรุนแรง มลพิษทางอากาศจากโรงงาน ควันรถ น้ำเสียจากชุมชน สารเคมีจากการเกษตร ล้วนทำลายระบบนิเวศ ป่าไม้ถูกแผ้วถาง ไฟป่า สัตว์ป่าสูญเสียที่อยู่อาศัย ผลร้ายแรงที่สุดคือภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์สุดขั้วรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุลูกเห็
มนุษย์กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งสำคัญ ธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณเตือน
หากเราไม่ร่วมมือกัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หยุดทำลายธรรมชาติ ภัยพิบัติร้ายแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาวะภัยแล้ง โลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง
โครงการการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม (Inclusive conservation initiative - ICI)
คือแนวทางแก้ไขวิกฤตนี้ โครงการนี้มุ่งสร้างการอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน เป็นธรรม จากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นำไปสู่ความสมดุลระหว่างการปกป้องธรรมชาติ กับความมั่นคงทางสังคม และความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์
โครงการ ICI มุ่งเน้นไปที่:
การเสริมพลังชุมชน: สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
การเชื่อมโยง: สนับสนุนเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ
ความรู้: ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
นโยบาย: สนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมการอนุรักษ์แบบครอบคลุม
การอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม เป็นความหวังที่จะฟื้นฟูธรรมชาติ สร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วม:
เรียนรู้: ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: ลดการใช้พลังงาน การใช้น้ำ ทานอาหารอย่างยั่งยืน
สนับสนุน: สนับสนุนองค์กรที่ทำงานด้านการอนุรักษ์
บอกต่อ: บอกต่อเรื่องราวเกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์
มาร่วมกันปกป้องธรรมชาติ มารดาผู้ยิ่งใหญ่ กับเรา ICI